posttoday

ตะลึงผลวิจัยเด็กไทยพร้อมขี้โกง

21 กันยายน 2554

ผลสำรวจสุขภาพเด็กไทยทำตัวไร้กติกาควบคุมอารมณ์ไม่เป็นพร้อมเล่นขี้โกงลอกข้อสอบหากจำเป็น

ผลสำรวจสุขภาพเด็กไทยทำตัวไร้กติกาควบคุมอารมณ์ไม่เป็นพร้อมเล่นขี้โกงลอกข้อสอบหากจำเป็น

รศ.นพ.วิชัย เอกพลากร คณะแพทยศาสตร์ ร.พ.รามาธิบดี นักวิจัยโครงการสำรวจสุขภาพประชาชนไทย เครือข่ายการวิจัย สำนักงานวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) เปิดเผยว่าจากการสำรวจสุขภาพเด็กในด้านอารมณ์ จิตใจ สังคม และจริยธรรม ในกลุ่มตัวอย่างอายุ 1-14 ปี จำนวนเกือบ 1 หมื่นราย พบว่า เด็กอายุ 1-5 ปียังมีปัญหาเรื่องการทำตัวไม่อยู่ในกติกาและไม่อยู่ในวินัย วัย 6-9 ปีไม่มีการควบคุมอารมณ์ สมาธิ และไร้เมตตา ขณะที่เด็กวัย 10-14 ขาดการวิเคราะห์ และหากมีโอกาสโกงก็พร้อมจะโกงได้ และเด็กยอมรับว่า ยอมรับได้กับการไม่เคารพกติกาเช่น “เล่นขี้โกงเมื่อมีโอกาส”และ“ลอกข้อสอบถ้าจำเป็น”

 

 

ตะลึงผลวิจัยเด็กไทยพร้อมขี้โกง ภาพประกอบข่าว

ทั้งนี้ เมื่อเทียบกับผลการสำรวจเมื่อปี 2544 มีประเด็นน่าเป็นห่วงพบว่า กลุ่มเด็กเล็กช่วงอายุ 1-5 ปีมีมากกว่าร้อยละ 10 ในด้านการทำตามระเบียบกติกา ในกลุ่มเด็กชาย ซึ่งเป็นข้อสังเกตที่น่าติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะสะท้อนถึงแนวโน้มที่เด็กอาจมีนิสัยที่ต้องการจะได้อะไรก็ต้องได้ ขาดความพยายาม ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่เกี่ยวโยงกับความซื่อสัตย์สุจริต อันเป็นจริยธรรมขั้นพื้นฐานของบุคคล

กลุ่มเด็กอายุ 6-9 ปี พบว่า ผลการทดสอบด้านที่ได้คะแนนต่ำคือ ความมีวินัย ความมีสติ-สมาธิ ความอดทนและความประหยัด โดยพัฒนาการด้านที่เด็กได้คะแนนน้อยซึ่งมีสัดส่วนเพิ่มขึ้น ได้แก่ พัฒนาการด้านความมีวินัยในเด็กชาย การมีสมาธิในเด็กหญิง ด้านความเมตตาและการควบคุมอารมณ์ทั้งเด็กชายและหญิง กลุ่มเด็กอายุ 10-14 ปี เห็นว่า “การเล่นขี้โกงเมื่อมีโอกาส” และ “การลอกข้อสอบถ้าจำเป็น” เป็นพฤติกรรมที่เด็กยอมรับได้มากขึ้น

นอจากนี้ยังมีหลายด้านที่พบว่าคะแนนการสำรวจยังไม่ดีขึ้นกว่าปี พศ. 2544 ได้แก่ ด้านความคิดสร้างสรรค์ ความคิดวิเคราะห์วิจารณ์ การแก้ปัญหา และการควบคุมอารมณ์ ซึ่งเป็นจุดที่ได้คะแนนค่อนข้างต่ำ ส่วนที่ควรพัฒนาในเด็กอายุ 1-5 ปี คือ การทำตามระเบียบกติกา ในเด็ก 6-9 ปี ในเด็กชายและเด็กหญิงควรพัฒนาด้านความเมตตาและการควบคุมอารมณ์ และสำหรับเด็กอายุ 10-14 ปี ควรฝึกการควบคุมและจัดการกับอารมณ์ รวมทั้งการคิดวิเคราะห์วิจารณ์

รศ.พญ.ลัดดา เหมาะสุวรรณ นักวิจัยโครงการสำรวจสุขภาพประชาชนไทย กล่าวว่า ข้อมูลชี้ให้เห็นว่า ควรให้น้ำหนักต่อการพัฒนาเด็กในด้านวุฒิภาวะด้านอารมณ์ จิตใจ สังคม และจริยธรรมควบคู่ไปกับการพัฒนาด้านอื่นๆ ซึ่งเป็นคุณสมบัติสำคัญในการดำรงชีวิตของบุคคล และเป็นปัจจัยที่มีผลต่อความสำเร็จในชีวิต

พญ.อัมพร เบญจพลพิทักษ์ ผอ.สำนักพัฒนาสุขภาพจิต กรมสุขภาพจิต เห็นว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องมีการดำเนินงานเพื่อสร้างเสริมพัฒนาการเด็กให้มากขึ้น และผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาเด็กคือ พ่อแม่และครู ซึ่งต้องเน้นการเลี้ยงดูและเป็นแบบอย่างที่ดี หากอีคิวหรือระดับอารมณ์ของผู้ปกครองไม่ดีก็ส่งผลต่อเด็กเช่นกัน

"จากการสำรวจครั้งนี้หากโยงไปถึงนโยบายการแจกแท็บเล็ตแล้ว ควรที่จะมีการวิเคราะห์เชิงลึกถึงไอคิวและอีคิวของผู้ปกครองด้วย เพราะการรับสื่อของเด็กวัย 7 ขวบ นั้นจำเป็นต้องพึ่งพาคำแนะนำไม่เช่นนั้นการเสพสื่อก็จะเป็นไปแบบล่องลอย โอกาสที่จะรับสื่อที่ไม่เหมาะสมก็มีมาก"พญ.อัมพร