คาใจ "ปรองดองทางลัด" ละเลยความจริง...
แนวทางปรองดองที่ผ่านท่าทีของคณะกรรมาธิการ (กมธ.)
โดย...สุภชาติ เล็บนาค
แนวทางปรองดองที่ผ่านท่าทีของคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดองแห่งชาติที่มี พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) เป็นประธาน และได้มอบหมายให้สถาบันพระปกเกล้าไปทำงานวิจัยความต้องการของแต่ละฝ่ายออกมา เริ่มออกมาชัดเจนมากขึ้น ตามมาด้วยปฏิกิริยาที่รัฐบาลออกมารับลูก กมธ. สอดคล้องกับท่าทีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ระบุว่า ได้พูดคุยกับผู้พิพากษาเรื่องการประกันตัวเสื้อแดง
อย่างไรก็ตาม เมื่อมีคนขานรับ อีกฝ่ายหนึ่งก็ออกมาต่อต้านทันที โจทย์ใหญ่ที่นำมาอ้างถึงก็คือ พรรคเพื่อไทยใช้เสียงข้างมากผลักดันแนวทางการปรองดองที่เอื้อประโยชน์ให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ดูเหมือนว่าการปรองดองที่ทุกฝ่ายคาดหวังให้เกิดขึ้นจะไม่ง่ายอย่างที่คิด
สมชาย ปรีชาศิลปกุล อธิการบดีมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน และหนึ่งในสมาชิกคณะกรรมการรณรงค์เพื่อแก้ไขมาตรา 112 (ครก.112) กล่าวว่า เห็นด้วยหากจะมีการปรองดองขึ้น เนื่องจากคนไทยส่วนหนึ่งต้องการให้ประเทศไทยเดินหน้าไปได้ แต่ขณะนี้ยังมองภาพไม่ออกว่าจะปรองดองอะไร กับใคร และเนื้อหาคืออะไร ส่วนตัวเห็นว่าวิธีการที่ดีที่สุดคือ การทำความจริงให้ปรากฏ ซึ่งในส่วนนี้คณะกรรมการอิสระตรวจสอบค้นหาความจริงเพื่อความปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ที่มี คณิต ณ นคร เป็นประธาน ได้รับมอบหมายอยู่แล้ว แต่ยังไม่มีความชัดเจนออกมาเสียที
ส่วนที่มองว่าการนำเสนอความจริงอาจไม่ได้แก้ปัญหาความขัดแย้ง และอาจนำไปสู่ความรุนแรงรอบใหม่นั้น สมชาย เห็นต่างว่า สังคมไทยควรต้องมีบทเรียนว่าอะไรคือตัวการให้เกิดความขัดแย้ง หรือใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง เช่น กรณีความรุนแรงเมื่อเดือน เม.ย.พ.ค. 2553 ที่มีผู้เสียชีวิตถึง 91 คน หากไม่สร้างความชัดเจนว่าใครเป็นคนใช้กำลัง ก็จะคลุมเครือต่อไป ซึ่งย่อมส่งผลกระทบต่อการปรองดองในอนาคต
ขณะที่การประกันตัวคนเสื้อแดงก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่จะทำให้บรรยากาศทางการเมืองคลี่คลายลงได้ เพราะสิทธิที่จะได้รับการประกันตัวเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่ผู้ต้องหาซึ่งไม่มีวี่แววว่าจะหลบหนีสามารถใช้สิทธิเหล่านี้ได้
สำหรับที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ระบุว่า ได้ปรองดองกับฝ่ายศาลแล้วนั้น สมชาย บอกว่า ต้องทำความเข้าใจว่าบทบาทของศาลยุติธรรมและการเมืองนั้นต้องแยกออกจากกันตลอดเวลา ทว่าในระยะหลังศาลถูกตั้งคำถามถึงความยุติธรรม และลักษณะของสองมาตรฐาน จนเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการเมืองมากเกินไป ซึ่งทั้งหมดนี้ศาลต้องทำภาพของความยุติธรรมให้ชัด และยุ่งเกี่ยวกับเรื่องการเมืองให้น้อยลง เพื่อไม่ให้ฝ่ายใดก็ตามเอามาอ้างเพื่อความชอบธรรมได้
สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ อาจารย์คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นักวิชาการเสื้อแดง กล่าวว่า ยังไม่มั่นใจกับท่าทีปรองดองกับชนชั้นนำของรัฐบาลชุดนี้ จริงอยู่คนไทยทุกคนต้องการเห็นความปรองดองที่เกิดขึ้น แต่เมื่อพรรคประชาธิปัตย์และกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ออกมาต่อต้าน ขณะเดียวกันคนเสื้อแดงก็ตั้งคำถามว่าท่าทีปรองดองเกิดขึ้นภายใต้เงื่อนไขอะไรบางอย่างหรือไม่
สุธาชัย กล่าวว่า ท่าทีปรองดองเกิดขึ้นภายใต้ชนชั้นนำ 2 ฝ่ายที่หารือร่วมกันอย่างถี่ถ้วน ฝ่ายที่เป็นอำนาจเก่า หรืออำมาตย์ที่เคยเป็นคู่ขัดแย้ง คงมองว่าหากใช้วิธีการแบบเดิมๆ คงไม่สามารถเอาชนะ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ ก็ต้องหาแนวทางประนีประนอมออกมา ขณะเดียวกันรัฐบาลชุดนี้ก็ไม่อยากมีความขัดแย้งกับศัตรูเดิม จึงหาแนวทางสรุปออกมาว่าควรจะมีข้อตกลงร่วมกันให้เดินหน้าต่อไปได้ แต่ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นภายใต้ 2 ฝ่ายเท่านั้น ไม่ได้เกี่ยวข้องกับกลุ่มคนเสื้อแดงหรือคนเสื้อเหลือง ซึ่งก็คงมีปัญหาต่อไปในอนาคต
เขายังทำนายไปถึงแนวทางที่อาจจะออกมาว่า คงหนีไม่พ้นการนิรโทษกรรมให้กับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการปราบปรามประชาชน 91 ศพ หรือคดีการเมือง และอาจยาวไปถึงโทษยุบพรรค ซึ่งหากเป็นไปในลักษณะนี้จริง และไม่ได้มีส่วนที่เกี่ยวข้องไปถึงกระบวนการประชาธิปไตยที่ประชาชนจะได้อำนาจมากขึ้น หรือไม่ได้เกี่ยวข้องกับการกำจัดความเป็นสองมาตรฐานในสังคมไทย ก็ยากที่จะนำไปสู่ความปรองดองได้ แต่ไม่ใช่สิ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ออกมาพูดว่าจะปรองดองกับศาล หรือตกลงกับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไว้เรียบร้อย ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเป็นปัญหาของการปรองดองด้วยซ้ำ
ขณะเดียวกัน สุธาชัย ยังได้แนะให้มีการค้นหาความจริงในเหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมืองในช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมาด้วยความตรงไปตรงมา เพราะการที่ประชาชนถูกสังหารกลางเมืองหลวง ย่อมไม่เป็นประเทศที่ศิวิไลซ์ และหากไม่มีความจริงใดๆ ออกมา ก็อาจแสดงให้เห็นว่าความรุนแรงอาจเกิดขึ้นได้อีกในอนาคต ซึ่งรัฐบาลและฝ่ายที่อยากเห็นความปรองดองต้องเร่งสอบสวนและดำเนินคดีกับผู้ที่กระทำผิด เพื่อให้ประชาชนมั่นใจว่าสวัสดิภาพของเขาจะไม่ถูกลิดรอนโดยชนชั้นปกครองที่เป็นคู่ขัดแย้งอีก