สพฉ. แม่งานคัดกรองป่วงฉุกเฉิน กด 1669 เบอร์เดียวส่งทุก รพ.
1 เม.ย.นี้ นโยบายเจ็บป่วยฉุกเฉินมาตรฐานเดียว ซึ่งรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ใช้เวลาทำคลอดเพียง 17 วัน จะเกิดเป็นรูปธรรม
1 เม.ย.นี้ นโยบายเจ็บป่วยฉุกเฉินมาตรฐานเดียว ซึ่งรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ใช้เวลาทำคลอดเพียง 17 วัน จะเกิดเป็นรูปธรรม
แน่นอนว่าอาจยังมีข้อกังวลในรายละเอียดในนิยามของคำว่า “ฉุกเฉิน”
นพ.ประจักษวิช เล็บนาค รองเลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) ในฐานะหน่วยงานผู้กำหนดกฎเกณฑ์และคัดกรองผู้ป่วยว่าฉุกเฉินหรือไม่ อธิบายว่า โดยปกติ สพฉ.จะแบ่งผู้ป่วยออกเป็น 3 ระดับ ได้แก่ สีแดง สีเหลือง และสีเขียว
สำหรับสีแดง คือ ผู้ป่วยที่มีอาการหนักสุด หากไม่ได้รับการดูแลอย่างทันท่วงทีมีโอกาสเสียชีวิต หรือพิการได้ อาทิ หยุดหายใจ ช็อก สัตว์กัดต่อย ท้องนอกมดลูก ตกเลือด เส้นเลือดสมองตีบ อัมพาต อัมพฤกษ์ฉับพลัน
สีเหลือง คือ ผู้ป่วยที่มีอาการก้ำกึ่งและสุ่มเสี่ยงที่จะเข้าสู่ภาวะสีแดง เช่น ผู้ป่วยเบาหวานที่ลืมกินอาหารเช้า อาจทำให้น้ำตาลในเลือดตกและหมดสติได้
นพ.ประจักษวิช อธิบายว่า ผู้ป่วยสีแดงไม่มีปัญหา ทุกคนยอมรับว่าจำเป็นต้องรักษา โดยเฉพาะโรงพยาบาลไม่สามารถปฏิเสธการรักษาได้ เนื่องจาก พ.ร.บ.สถานพยาบาล มาตรา 36 ระบุชัดไว้ว่า หากไม่รักษาตามมาตรฐานวิชาชีพมีโอกาสถูกยึดใบประกอบการสถานพยาบาลได้
“ปัญหามันอยู่ที่ผู้ป่วยสีเหลืองอ่อนๆ ตรงนี้ต้องตีความว่าโรงพยาบาลจะรักษาหรือไม่ ฉุกเฉินหรือไม่ หน่วยงานที่ดูแลเรื่องงบประมาณ คือ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ก็จะงงว่าต้องจ่ายเงินหรือไม่ ตรงจุดนี้ต้องนิยามในเชิงปฏิบัติการ และคัดแยกกันให้ดีว่าจะทำอย่างไร” รองเลขาธิการ สพฉ. ระบุ
รองเลขาธิการ สพฉ. ให้รายละเอียดการคัดกรองผู้ป่วยเบื้องต้นว่า จะใช้นิยามของคณะกรรมการการแพทย์ฉุกเฉิน 13 อาการ โดยสายด่วน 1669 จะเป็นแม่งานในการรับผู้ป่วยไปส่งยังโรงพยาบาล อย่างไรก็ดีจากสถิติพบว่ามีผู้ป่วยในกรุงเทพมหานคร (กทม.) เพียง 10% เท่านั้นที่ใช้บริการ 1669 ส่วนอีก 90% เลือกไปโรงพยาบาลด้วยตัวเอง ตรงนี้แพทย์และฝ่ายคัดกรองอาจเกิดปัญหา
“ตัวอย่างเช่น คนไข้บอกปวดท้องจะตายแล้วทำไมไม่ให้เป็นฉุกเฉิน แต่ทางโรงพยาบาลบอกว่าคุณเป็นโรคกระเพาะเท่านั้น มันเถียงกันยังไงก็ไม่จบ ที่ประชุมจึงคุยกันว่าให้เริ่มต้นโทร.ไปยัง 1669 ให้ไปรับ เขาก็จะคัดกรองให้ ตัดสินให้” นพ.ประจักษวิช ให้คำแนะนำ
คุณหมอประจักษวิช บอกอีกว่า หากพิจารณาแล้ว พ.ร.บ.สถานพยาบาลกำหนดเพียงห้ามไม่ให้สถานพยาบาลปฏิเสธคนไข้ ขณะที่ พ.ร.บ.การแพทย์ฉุกเฉินก็พูดถึงเรื่องการรักษาเพียงอย่างเดียว โดยกฎหมายทั้งสองฉบับไม่ได้ระบุว่าใครเป็นผู้จ่ายเงิน
อย่างไรก็ตาม เมื่อกำหนดกันได้แล้วว่า สปสช.จะเป็นผู้จ่ายเงินทั้งหมด ก็นำ พ.ร.บ.ทั้งสองฉบับข้างต้นมารวมกันให้เป็นเรื่องเดียวได้ จากนี้คือชัดเจนแล้วว่า มีคนจ่าย มีคนรักษา ซึ่งก็ลงตัวดี
“เมื่อตกลงกันแล้วว่า สปสช.จะจ่ายให้ผู้ป่วยฉุกเฉิน สำหรับผู้ป่วยขาเข้า สำนักงานประกันสังคม (สปส.) และกรมบัญชีกลางก็ต้องห้ามปฏิเสธ หากมีปัญหาภายหลังก็ให้มาเอาผิดกับ สพฉ.ว่าคัดกรองอย่างไรจึงผิดพลาด ทั้งหมดไม่ใช่ความผิดของคนไข้
“ส่วนผู้ป่วยขาออก อาจมีความวุ่นวายเกิดขึ้น เนื่องจากไม่มีโรงพยาบาลไหนอยากรักษาคนไข้ต่อจากคนอื่น นั่นเพราะเขาไม่รู้ว่าที่ผ่านมาผู้ป่วยได้รับการรักษามาอย่างไรแล้วบ้าง”
“อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือปัญหาความแออัดของโรงพยาบาลรัฐ หรือโรงพยาบาลในระบบ ที่ผ่านมาพบว่าเตียงเต็มตลอดเวลา ตรงนี้ต้องเคลียร์ทั้งระบบ เมื่อส่งต่อผู้ป่วยกลับมารักษาปัญหาจะได้ไม่เกิด” นพ.ประจักษวิช ชี้ให้เห็นถึงปัญหา
อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 28 มี.ค.นี้ จะมีการลงนามบันทึกความร่วมมือระหว่าง 3 กองทุนสุขภาพ เพื่อเริ่มใช้นโยบายเจ็บป่วยฉุกเฉินมาตรฐานเดียวให้ทันวันที่ 1 เม.ย.นี้ โดยมี นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ เป็นผู้นำในการลงนาม พร้อมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง