โผทหารเขย่าอำนาจกองทัพ
คลอดออกมาอย่างเป็นทางการแล้ว สำหรับบัญชีโยกย้ายนายทหารประจำปี 2555 ในภาพรวมนับว่าแฮปปี้กันทุกฝ่ายระหว่างฝ่ายการเมืองและกองทัพ
โดย...ไพบูลย์ กระจ่างวุฒิชัย
คลอดออกมาอย่างเป็นทางการแล้ว สำหรับบัญชีโยกย้ายนายทหารประจำปี 2555 ในภาพรวมนับว่าแฮปปี้กันทุกฝ่ายระหว่างฝ่ายการเมืองและกองทัพ ต่างฝ่ายต่างได้คนของตัวเองที่สามารถไว้วางใจได้เข้ามาคุมตำแหน่งสำคัญ
กองทัพบก ความน่าสนใจอยู่ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. ได้วางให้ “บิ๊กโด่ง” พล.ท.อุดมเดช สีตบุตร (ตท.14) แม่ทัพภาคที่ 1 อดีตผู้การ ร.21 รอ. (ทหารเสือราชินี) เป็น เสธ.ทบ. เพื่อเตรียมขึ้น ผบ.ทบ. ในอีก 2 ปีข้างหน้า นอกจากนี้ยังจัดให้นายทหาร ตท.15 รุ่นเดียวกับ พล.ต.ปรีชา จันทร์โอชา น้องชาย เข้ามาคุมกำลังของกองทัพบกจำนวนมาก เช่น พล.ต.ไพบูลย์ คุ้มฉายา (ตท.15) ขึ้นมาเป็นรองแม่ทัพภาคที่ 1 ส่วน พล.ต.ปรีชา ถูกดันขึ้นแม่ทัพน้อยที่ 3 (อัตรา พล.ท.) เพื่อรอขึ้นเป็นแม่ทัพภาคที่ 3 ในเดือน เม.ย. ปี 2556 เป็นต้น
กองทัพเรือ ไม่ได้มีอะไรหวือหวามากมีเพียง “บิ๊กหรุ่น” พล.ร.อ.สุรศักดิ์ หรุ่นเริงรมย์ ผบ.ทร. ดันเพื่อน ตท.13 ขึ้นสู่ตำแหน่งสำคัญหลายนาย โดยเฉพาะ พล.ร.ท.จักรชัย ภู่เจริญยศ (ตท.13) รอง เสธ.ทร. มาเป็น เสธ.ทร. ซึ่งได้รับการคาดหมายว่าจะเป็น ผบ.ทร.ในอนาคต
ส่วนรายอื่นในกลุ่ม ตท.13 ก็ต่างขึ้นเป็นใหญ่กันถ้วนหน้า เช่น พล.ร.อ.อมรเทพ ณ บางช้าง (ตท.13) ผช.ผบ.ทร. เป็นประธานคณะที่ปรึกษา ทร. พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย (ตท.13) ที่ปรึกษาพิเศษ ทร. เป็นรอง ผบ.ทร. ขณะที่ พล.ร.อ.พลวัฒน์ สิโรดม (ตท.13) ที่ปรึกษาพิเศษ ทร. เป็น ผช.ผบ.ทร.
กองทัพอากาศ นับว่าเป็นกองทัพแรกๆ ที่ฝ่ายการเมืองเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดโผอยู่สมควร แต่ที่สุดแล้วก็ไม่ได้ปรากฏความขัดแย้งแต่ประการใด โดย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ให้นโยบายมายัง “บิ๊กโอ๋” พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต แล้วว่าต้องปรองดองกับกองทัพ
โดยทัพฟ้าปีนี้มีการเกษียณอายุราชการของ “บิ๊กเฟื่อง” พล.อ.อ.อิทธพร ศุภวงศ์ ผบ.ทอ. แต่ “บิ๊กจิน” พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง (ตท.13) ผช.ผบ.ทอ. น้องรักบิ๊กเฟื่อง ได้เป็น ผบ.ทอ.คนใหม่ ซึ่งพรรคเพื่อไทยไม่ได้คัดค้านอะไร แม้จะถูกมองว่าเป็นทายาททางอ้อมของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ในฐานะมีความสนิทกับ “บิ๊กต๋อย” พล.อ.อ.ชลิต พุกผาสุข องคมนตรี อดีต ผบ.ทอ.ก็ตาม
ทั้งนี้ ในกองทัพอากาศใช่ว่าฝ่ายการเมืองจะไม่ได้อะไรเลย โดยโผโยกย้ายครั้งนี้น้องชาย พล.อ.อ.สุกำพล ต่างได้ดิบได้ดีกันถ้วนหน้าทั้งในส่วน พล.อ.ต.สุรจิต สุวรรณทัต (ตท.15) ผู้ทรงคุณวุฒิ ทอ. เป็นรองผู้บัญชาการหน่วยอากาศโยธิน (อย.) น.อ.สุรพันธ์ สุวรรณทัต (ตท.18) เป็นผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันทางอากาศกรมควบคุมการปฏิบัติการทางอากาศ
ถึงกระนั้นภายใต้ความชื่นมื่นจากโผโยกย้ายครั้งนี้ก็ซ่อนไว้ด้วยระเบิดเวลาที่รอวันปะทุในอนาคต หลังจาก “บิ๊กเล็ก” พล.อ.ทนงศักดิ์ อภิรักษ์โยธิน ผู้ช่วย ผบ.ทบ.ขึ้นมาเป็นปลัดกระทรวงกลาโหมคนใหม่ โดยมี พล.อ.อ.สุกำพล เป็นแม่แรงผลักดันคนสำคัญ
อย่าลืมว่าปัญหาตำแหน่งปลัดกระทรวงกลาโหมคนใหม่ ทำให้เกิดภาพความขัดแย้งที่รุนแรงที่สุดระหว่างกองทัพกับการเมืองมาแล้ว เมื่อมองกันว่า พล.อ.ทนงศักดิ์ แหวกม่านประเพณีมาเป็นแม่บ้านของกองทัพเหตุไม่ได้ครองอัตราจอมพลมาก่อน กระทั่ง พล.อ.อ.สุกำพล มีคำสั่งเด้งฟ้าผ่า “บิ๊กเปี๊ยก” พล.อ.เสถียร เพิ่มทองอินทร์ จากปลัดกระทรวงในฐานะผู้เปิดประเด็นให้มาเข้ากรุในสำนักงาน รมว.กลาโหม
แม้ในเวลาต่อมา พล.อ.ประยุทธ์ จะออกมาการันตีว่าปัญหานี้จบแล้ว แต่ลึกๆ แล้วปฏิเสธไม่ได้ว่าดุลยภาพในกองทัพได้เปลี่ยนแล้ว
ดุลยภาพที่เปลี่ยนไปดังกล่าวคือ การต่อสู้ภายในคณะกรรมการพิจารณาแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารตาม พ.ร.บ.จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ. 2551 ประกอบด้วย รมว.กลาโหม ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการทหารบก ผู้บัญชาการทหารเรือ ผู้บัญชาการทหารอากาศ และปลัดกระทรวงกลาโหม
อำนาจของคณะกรรมการชุดนี้มีความสำคัญมาก ถืออาญาสิทธิ์การพิจารณาแต่งตั้งนายทหารตั้งแต่ชั้นนายพลขึ้นไป เรียกได้ว่าเด็กใครจะได้เป็นใหญ่ก็ขึ้นอยู่กับคณะกรรมการชุดนี้
ระบบคณะกรรมการลักษณะนี้ ทำให้ฝ่ายการเมืองต้องตกเป็นเบี้ยล่างกองทัพมาตลอด เนื่องจากการพิจารณาจะใช้เสียงข้างมากของคณะกรรมการเป็นเกณฑ์ตัดสิน
พรรคเพื่อไทยมีเสียงเดียวจาก รมว.กลาโหม ซึ่งที่ผ่านมาสมัย พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา เป็น รมว.กลาโหม ต้องกลายเป็นหัวเดียวกระเทียมลีบแพ้โหวตทุกครั้ง เพราะผู้นำเหล่าทัพที่เหลือทั้ง พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร ผบ.สส. พล.อ.ประยุทธ์ พล.ร.อ.สุรศักดิ์ และ พล.อ.อ.อิทธพร จับเสียงกันแน่นเป็นปึกแผ่น
ส่งผลให้พรรคเพื่อไทยมองว่า หากปล่อยไว้แบบนี้ไปเรื่อยๆ กองทัพจะมีความเข้มแข็งเกินไปและอาจเป็นอันตรายต่อรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ตราบใดฝ่ายการเมืองยังไม่สามารถเข้าไปคุมกองทัพได้เบ็ดเสร็จก็ไม่ยากที่รัฐบาลจะยืนอยู่ได้อย่างมั่นคง
ครั้นจะหักด้ามพร้าด้วยเข่าผ่านการเสนอแก้ไขกฎหมายฉบับนี้ ยกเลิกระบบคณะกรรมการและให้สภาลงมติก็เกิดกระแสต่อต้านขึ้นยังไม่ทันจะเริ่มร่างกฎหมาย
แต่พอโผโยกย้ายปีนี้เกิดการเปลี่ยนแปลงสำคัญตรงที่การเกษียณอายุราชการของ “บิ๊กเฟื่อง” และการเข้ามาเป็นปลัดกระทรวงคนใหม่จาก “บิ๊กเล็ก” เป็นช่องให้ฝ่ายการเมืองสามารถเข้ามาแย่งส่วนแบ่งอำนาจในกองทัพผ่านคณะกรรมการชุดนี้ได้ง่ายขึ้น
อย่างน้อยพรรคเพื่อไทยจะมีเสียงโหวตในคณะกรรมการเป็น 2 นาย จาก “พล.อ.อ.สุกำพล” และ “พล.อ.ทนงศักดิ์” ไม่เพียงเท่านี้ยังอาจเพิ่มขึ้นเป็น 3 เสียงได้ หาก พล.อ.อ.ประจิน เห็นแก่หน้า “บิ๊กโอ๋” ในฐานะผู้ที่ไม่ได้แสดงท่าทีคัดค้าน “บิ๊กจิน” ให้ขึ้นเป็น ผบ.ทอ.
ดุลยอำนาจในกองทัพที่กำลังเปลี่ยนไปนี้อาจเป็นสัญญาณดีของพรรคเพื่อไทยในการเริ่มต้นคืบคลานเข้ามาขอแบ่งอำนาจจากกองทัพ แต่อีกด้านก็กำลังจะเป็นระเบิดเวลาแห่งความขัดแย้งลูกใหม่ที่รุนแรงอย่างคาดไม่ถึง หากพรรคเพื่อไทยล้ำเส้นกองทัพจนเกินงาม