posttoday

มือปราบหูดำ'วิชัย สังข์ประไพ 'เส้นทาง37ปีวิสามัญ39ศพซัดสีกากีสยบการเมือง-แทงข้างหลัง

03 พฤศจิกายน 2555

ถนนของนักสู้ย่อมต้องมีบาดแผลบ้าง ไม่ชนะศึกไม่เป็นไร แต่ต้องมีศักดิ์ศรี

โดย...ธนก บังผล

ถนนของนักสู้ย่อมต้องมีบาดแผลบ้าง ไม่ชนะศึกไม่เป็นไร แต่ต้องมีศักดิ์ศรี

37 ปี ของชีวิตการรับราชการตำรวจของ “รองแต้ม” พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ในตำแหน่งสุดท้ายรองจเรตำรวจแห่งชาติ สะท้อนให้เห็นเส้นทางเดินของนักสู้ที่รักษาศักดิ์ศรีมากกว่าตำแหน่ง

พล.ต.ต.วิชัย ยื่นหนังสือลาออกจากราชการ เมื่อวันที่ 20 ก.ย. 2555 หลังถูกย้ายจากตำแหน่งรองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (รอง ผบช.น.) ไปเป็นรองจเรตำรวจฯ คนจบจากโรงเรียนพลตำรวจนครบาล รุ่นที่ 25 จนได้ติดยศร้อยตำรวจตรี และมาหยุดชีวิตราชการที่ยศพลตำรวจตรี อีก 3 ปีจะเกษียณ ยศพลตำรวจโทอยู่แค่เอื้อม

“ถือว่าเรารับราชการมาตามเนื้องาน เป็นตำรวจมาได้ถึงขนาดนี้ถือว่าประสบความสำเร็จ ผมถือว่าสูงสุดแล้ว และผมถือว่าดีมากด้วย” รองแต้ม เริ่มบทสนทนา

หลังจากลาออกจากตำรวจไม่ได้ตกงาน อดีตนายตำรวจใหญ่รับเป็นที่ปรึกษาให้กับพรรคพวกหลายบริษัท “เครื่องแบบที่เคยใส่ก็ไม่ได้คิดถึงเลย พอลาออกก็เอาเครื่องแบบเก็บเลย ไม่เคยเอามาดู ถ้าให้ติดเครื่องหมายใหม่ก็คงจะติดไม่ถูก เชื่อไหมว่าผมไม่ได้อ่านข่าวตำรวจเลย มันเหมือนกับเบื่อองค์กรไปเลย ผมไม่อยากเห็นภาพนั้นอีกเลย ถามว่าเสียใจไหม ผมก็ไม่ได้เสียใจ แต่เสียความรู้สึกว่า สิ่งที่เราได้ทำมาตลอดชีวิตรับราชการ ผมว่าผมทำอะไรให้กับชาติบ้านเมืองเยอะมาก”

ถามตรงไปตรงมาถึงสาเหตุการลาออก พล.ต.ต.วิชัย เปิดใจว่า เพราะระบบ ที่ไม่สามารถทนรับระบบตำรวจทุกวันนี้ได้ “ผมถามว่าสิ่งที่ผมทำลงไปผมทำอะไรผิดพลาดไหม ผมไม่ได้ผิดพลาดเลย ย้ายผมไปอยู่จเรฯ ไม่ได้มีความผิดของผมเลย เพียงแต่ไม่พอใจผู้ที่มีอำนาจ

มือปราบหูดำ\'วิชัย สังข์ประไพ \'เส้นทาง37ปีวิสามัญ39ศพซัดสีกากีสยบการเมือง-แทงข้างหลัง

 ลองไปเช็กย้อนหลังดูว่าผมทำผิดอะไร มันเป็นความผิดคนอื่นหมด แต่เวลาคนที่เขาทำผิดก็ไปใส่ร้ายว่ามันน่าจะเกิดเพราะผมอย่างนี้ มันไม่ใช่ ผมยังน้อยใจผู้บังคับบัญชา น้อยใจนักการเมือง สั่งให้ผมทำโน่นทำนี่ แล้วพอมีเรื่องไม่เคยจะมา สิ่งที่ผมทำตรงนั้น เขาเป็นคนสั่ง นี่คือนักการเมือง”

“37 ปี ทำใจได้ เพราะว่าเราเหนื่อยมา พอเราหลุดพ้นมาก็เหมือนกับเราสบาย ตอนนี้ผมสบายนะ ทุกคนเจอผมก็บอกว่าหน้าผมยิ้มแย้ม ไม่ต้องเครียดอะไร ตอนอยู่ผมก็ไม่ได้เอาตำแหน่งหน้าที่ไปหาผลประโยชน์ ไปดูประวัติผมได้ ถามว่าเสียใจไหม ก็ไม่ได้เสียใจอะไรมากมาย แต่มันเสียความรู้สึกที่เราได้ทำให้กับส่วนรวม และมันเสียว่าต่อไปนี้รุ่นน้องๆ จะทำอย่าง เพราะระบบราชการทุกวันนี้มันเสียแล้ว มันเสียเพราะว่า คนทำความดีไม่ค่อยได้ดี

การชุมนุมต่างๆ ตอนผมเป็นผู้บังคับการตำรวจนครบาล 1 (ผบก.น.1) 3 ปี ผมกลับไปนอนบ้านนับวันได้เลย นอนที่ทำงานทุกวัน กินเที่ยวก็ไม่เคย ผมเสียสละขนาดไหน ถ้าผมเป็นตำรวจอเมริกัน สิ่งที่ผมได้ทำมาผมต้องเป็นวีรบุรุษ แต่ผมยังไม่เคยได้รางวัลจากกรมตำรวจ ยังไม่เคยได้คำชมเชยสักฉบับ นี่คือองค์กรตำรวจที่เราเป็นอยู่”

นายพลตำรวจผู้คอยทำหน้าที่เจรจาไกล่เกลี่ยกับแกนนำผู้ชุมนุมทางการเมืองสีต่างๆ มาตลอด จากเสื้อเหลืองยันเสื้อแดงระบายความใน จากที่ก่อนหน้านั้นเคยมีชื่อเสียงในการปราบปรามยาเสพติด การสืบสวนอาชญากรรม กระทั่งได้รับฉายาว่า “มือปราบหูดำ”

“ผมวิสามัญคนร้ายคดียาเสพติด เฉพาะอยู่ บก.น.8 ในเวลา 3 ปี วิสามัญ 39 คน ผมเอาจริงเอาจังกับเรื่องนี้มาก เพราะฉะนั้นสังคมจะมองผมว่ามีชื่อเสียงด้านปราบปรามยาเสพติด ฉายาผมไม่ได้มาจากยาเสพติด แต่มาจากการสืบสวนอาชญากรรม

สิ่งที่ตอนหลังมาเด่นชัดที่สุด คือ ปราบปรามยาเสพติด ส่วนเรื่องการเจรจาม็อบมันเหมือนกับเป็นโลโก้ หลังจากเป็นผู้บริหารแล้วก็มามีชื่อเสียงเรื่องการเจรจา ผมว่าสำเร็จก็แล้วกัน ถึงแม้สังคมจะมองว่าไม่สำเร็จ ที่ว่าสำเร็จเพราะผมรู้จักคนเยอะ ผมจริงใจกับทุกคน และตรงไปตรงมากับทุกคน ผู้ชุมนุมชอบผมหมด”

รองแต้มเคยเป็นนายเวรของ พล.ต.อ.สุนทร ซ้ายขวัญ อดีตรักษาการ ผบ.ตร. ผ่านการทำงานมาหลายรัฐบาล ทำให้เห็นระบบที่ทำลายโครงสร้างตำรวจ “ที่บ้านเมืองมันแย่ทุกวันนี้ ก็เพราะนักการเมืองไม่พูดตรง เรื่องจริงมันไม่พูดให้สังคมรู้ พูดเอาแต่ความดีฝ่ายเดียว นักการเมืองไม่พูดความจริง กระบวนการที่อ้างว่าสองมาตรฐานแต่กลับมาทำสองมาตรฐานเสียเอง

หนึ่งในปัจจัยที่ทำให้ระบบของตำรวจเสื่อมถอยอย่างหนักในมุมมองของมือปราบหูดำ คือการที่ตำรวจไปอิงและสยบยอมกับอำนาจการเมือง “ตำรวจต้องอย่าไปยุ่งกับการเมือง ผู้นำองค์กร ผู้นำหน่วยอย่าไปยุ่งกับการเมือง เพราะทุกวันนี้ตำแหน่งหน้าที่ คุณเคยคิดไหมว่าหันหน้าไปหาประชาชนมากเท่าไร

ทุกวันนี้คิดกันอย่างเดียวว่าจะทำอย่างไรให้ได้ตำแหน่ง ถ้าได้ตำแหน่งแล้วจะรับผลประโยชน์อย่างไร ผมพูดกับลูกน้องก่อนออกว่าให้หันหน้าหาประชาชน อย่าหันหลังให้ประชาชน แล้วการไปดูใครคนใดคนหนึ่งเพื่อให้ได้ยศตำแหน่ง ผมถือว่าเป็นบาป กินเงินภาษีของราษฎร เป็นข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทำอย่างนี้คุณบาป ถึงจะได้ดีตอนนี้แต่ต่อไปคุณจะภัยพิบัติ”

“ข้าราชการเดี๋ยวนี้ท้อแท้ เพราะทำงานมานานแต่ไม่ได้ตำแหน่ง อยู่มาวันหนึ่งก็มีใครมาโปะหัวก็ไม่รู้ แล้วคนอื่นที่ทำความดีจะทำไปทำไม ไปวิ่งเต้นดีกว่า ใช่ไหม บางคนท้อใจยิ่งกว่าผมอีก แต่ก็ต้องจำทนเพราะไปไหนไม่ได้แล้ว บางคนรับราชการมากว่าจะได้ขึ้นสารวัตรที 19 ปี คนอื่นที่ได้สารวัตรก่อนมีความดีอะไรมากกว่าคนนี้หรือเปล่า ก็ไม่มี เก่งกว่าอย่างเดียวคือ คนนั้นมันมีเส้น วิ่งเต้นเก่งเท่านั้นเอง

มองอย่างเดียวไม่ใช่พวก คนละหน่วย ไม่ใช่รุ่นกู ไม่ใช่สถาบันเดียวก็ไม่ได้ดี คนเหล่านี้ท้อแท้กว่าผมอีก แต่มันพูดไม่ได้ ผมโชคดีตำแหน่งที่ได้มาผมเอาเนื้องานเข้ามาแลก แต่สมัยนี้มันไม่ใช่แล้ว คนที่จะได้ดีต้องไปหาคนที่มีอำนาจมันถึงได้ดี

ให้กลับไปอีกทีผมก็ไม่กลับไปเป็นตำรวจ พูดต่อหน้าพระห้อยคอเลย วงการตำรวจมันไม่ได้แย่นะ แต่ผมไม่ชอบระบบ กลับไปมันก็ไปเจอระบบเดิม เวลาตำรวจออกไปจับคนร้ายเราจะใส่เสื้อเกราะข้างหน้า แต่ระบบตอนนี้ตำรวจต้องใส่เสื้อเกราะที่หลัง เพราะมีทั้งแทงข้างหลัง ใส่ร้าย เลื่อยขา ซึ่งที่แย่กว่านั้นคือถ้าผู้มีอำนาจหูเบาก็จะฟัง”

แต่กระนั้น พล.ต.ต.วิชัย ยังมีความหวังว่าในยุคของ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร. คนปัจจุบัน จะทำให้องค์กรตำรวจดีขึ้น เพราะนาย (พล.ต.อ.อดุลย์) เป็นคนทำงาน รู้ถึงนิสัยใจคอตำรวจที่ทำงาน

“ท่านรู้ความรู้สึกของตำรวจที่ทำงาน แต่ท่านจะทำได้มากหรือไม่มากอยู่ที่ระบบที่ต้องไปขึ้นอยู่กับการเมือง แต่ใจผมเชื่อว่าท่านจะทำให้ระบบนี้ดีขึ้น” รองแต้ม ให้ความเห็น

ระหว่างนั่งเก้าอี้ผู้การ น.1 รับหน้าที่ไปเจรจากับแกนนำกลุ่มผู้ชุมนุมมาทั้งเสื้อเหลืองและเสื้อแดง จึงถูกข้อครหาเป็น “ตำรวจมะเขือเทศ” แต่ พล.ต.ต.วิชัย คิดต่าง “ผมว่าตำรวจไม่ใช่เสื้อแดงหรอก ทุกคนไปคิดเอาเอง คือสมัยหนึ่งมีคนไปบอกว่าตำรวจเป็นเสื้อแดงเพราะผู้ชุมนุมกลุ่มหนึ่งไปผลักไสให้เจ้าหน้าที่ตำรวจไปเป็นเสื้อแดง จริงๆ ตำรวจเป็นคนกลาง ใครมาเป็นรัฐบาลใช้ก็ทำ ในการชุมนุมเสื้อแดงตำรวจยังด่าเสื้อแดง เพราะทำให้เหนื่อยทำให้เดือดร้อน

“ผมไปเจรจาคนนึกว่าผมเป็นเสื้อแดง ผมไม่ใช่เสื้อแดงนะ และผมก็ไม่ใช่เสื้อเหลือง ผมเป็นคนสีกากี ผมเป็นข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผมต้องทำงานให้บ้านเมืองสงบ”

แม้รองแต้มจะลาออกจากราชการแล้ว คำวิพากษ์แบบ “ปะ-ฉะ-ดะ” คงได้สะท้อนให้ผู้บริหารองค์กรได้นำไปฉุกคิดในการปรับปรุงวงการสีกากีให้ได้รับการยอมรับมากขึ้นในอนาคต

......เขาเกิดมาในครอบครัวชาวนาที่ยากจน ใน อ.อุทัย จ.พระนครศรีอยุธยา มุ่งมั่นที่จะเป็นรับราชการทหารเหมือนพ่อ แต่สอบเข้าเรียนที่โรงเรียนเตรียมทหารไม่ได้ หลังศึกษาจบจากโรงเรียนพลตำรวจ เข้ารับราชการในตำแหน่งพนักงานสอบสวน สน.ประชาชื่น 4 ปี ก่อนย้ายมาเป็น รองสารวัตรจราจร สน.พญาไท 1 ปี  

กว่าจะมาเป็นรองแต้ม เคยผ่านงานพนักงานสอบสวน 3 ปี ย้ายไป สน.บางมด 1 ปี ได้รางวัลพนักงานสอบสวนดีเด่น ก่อนขึ้นเป็นสารวัตรสอบสวน ผ่านการเป็นสารวัตรสืบที่ สน.พลับพลาไชย 2 อีก 3 ปี แล้วไปเป็นสารวัตรจราจรอยู่ สน.บางเขน 1 ปี โยกไปอยู่กองบังคับการสืบสวนนครบาล 5 ต่อมาถูกย้ายไป จ.บุรีรัมย์ นับว่าเส้นทางการเติบโตส่วนใหญ่อยู่ที่ บช.น. ตั้งแต่แรกเริ่ม

“ผมเป็นคนชอบทำงานให้กับสังคม เสียดายอย่างเดียวว่าเราไม่ได้ทำอะไรให้กับสังคม ผมอยากให้สังคมดี ผมเป็นคนจนมาก่อน ครอบครัวผมจนมาก สมัยเรียนหนังสือพอปิดเทอม ผมจะต้องมาทำงานก่อสร้างกับพ่อ มานอนตามแค้มป์ต่างๆริมถนน ผมมากับพ่อ” รองแต้ม บอกเล่าถึงอดีตที่ผ่านมา

“ผมชอบทำงานช่วยเหลือสังคม ผมก็อยากจะไปทำงานที่เกี่ยวกับสังคม มีงานเดียวที่จะช่วยเหลือสังคมได้ก็คือเรื่องการเมือง พอพ้นจากตำรวจแล้วจะช่วยเหลือสังคมได้ก็คือการเมือง หรือเป็นผู้แทนประชาชน ตรงนี้อะไรจะเป็นผู้แทนประชาชนได้ก็อยากจะไปทำตรงนั้น ถามว่าขณะนี้จะไปช่วยพรรคไหนอย่างไร ยังตอบไม่ได้ ตรงนี้ต้องลึกซึ้งมันมีหลายวิธีการด้วยกัน แต่ถามว่ามีคนมาติดต่อไหม หลายพรรคอยากให้ผมไปช่วยแต่ผมยังไม่ตัดสินใจ  แต่ผมตัดสินใจอยู่ในใจอยู่แล้วว่าอยากทำอะไร”

โดย รองแต้ม ยืนยันว่า ไม่ได้ไปสมัครเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ตามที่มีข่าวลือออกมาซุบซิบก่อนหน้านี้ แต่ในอนาคตก็อาจจะเป็นไปได้ที่จะเห็น มือปราบหูดำเป็นนักการเมือง เพราะมีพรรคในดวงใจแล้ว ซึ่งยังใช้เวลาคิดอยู่

“ถ้าผมเป็นนักการเมืองผมจะไม่เล่นการเมืองอย่างนักการเมืองวันนี้ ถ้าผมจะไปช่วยงานกับ กทม. ไม่ต้องมาถามผมเลยว่าผมจะเล่นการเมืองอย่างไร แต่ถ้ามาถามว่าจะช่วยคนกทม.อย่างไร ผมจะตอบ เพราะผมเล่นการเมืองไม่เป็น ผมโกหกตอแหลไม่เป็น บิดพลิ้วไม่เป็น สาบานไม่เป็น โกหกตัวเองไม่เป็น นักการเมืองต้องโกหกตัวเองได้ หลอกลวงได้ สามารถแช่งครอบครัวให้มีภัยพิบัติได้ ขอให้มีอันเป็นไป อย่างนี้เราทำไม่ได้หรอก แล้วที่คุณรวยมารวยมาจากไหน  เพราะฉะนั้นคนพวกนี้ขนาดครอบครัวมัน มันยังไม่รักเลย กล้าแช่งให้ครอบครัวภัยพิบัติ แล้วมันจะไปรักประชาชนได้อย่างไร”

รองแต้ม ยอมรับว่า ตำแหน่งผู้ว่า กทม. เขาบารมียังไม่ถึง แต่อาจจะไปช่วยงานใครได้

“ถามว่าผมทำได้ไหม ผมว่าผมทำได้ แต่บารมีผมยังไม่ถึง ปัจจัยต่างๆมันยังไม่เอื้ออำนวย”