“พ่อลาคลอด” สิทธิที่สังคมต้องรับรู้
ชายหลายคนยังไม่รู้ถึงสิทธิในการลาคลอดเพื่อช่วยดูแลภรรยาและลูกได้ 15 วัน
ชายหลายคนยังไม่รู้ถึงสิทธิในการลาคลอดเพื่อช่วยดูแลภรรยาและลูกได้ 15 วัน
กานต์ กมลรัตน์
พ่อลาคลอด สิทธิทางสังคมที่ทางหน่วยงานที่ภาครัฐและเอกชนได้เพ่งเล็งและผลักดันอยู่ในขณะนี้ แต่ก็มีประชาชนจำนวนไม่น้อยที่ยังไม่ทราบว่าเป็นสิทธิที่ผู้ชายพึงจะได้รับแล้วในสังคมปัจจุบัน และยังเป็นสิทธิใหม่ป้ายแดงแก่หลายหน่วยงาน แต่อย่างไรก็ตามสิทธิดังกล่าวก็สามารถใช้ได้แล้วตามกฎหมาย
จากมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 8 ก.พ.2553 ครม.มีมติให้ข้าราชการสามารถลาติดต่อกันได้ไม่เกิน 15วันทำการ เพื่อช่วยภรรยาเลี้ยงดูลูกหลังคลอด ต่อมาได้ออกเป็นระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการลาของข้าราชการ พ.ศ.2555 ข้อ 20 อนุญาตให้ลาไปช่วยเหลือภริยาที่คลอดบุตร ซึ่งประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 24 ม.ค.2555 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ซึ่งนั้นหมายความว่า ผู้ชายมีสิทธิลาคลอดได้แล้ว แต่สิทธินี้ก็ยังไม่เป็นที่แพร่หลายมากนัก
โดยผลสำรวจจากมูลนิธิศูนย์นมแม่แห่งประเทศไทย ร่วมกับบริษัท ไทยทอปปิค จำกัด ได้สำรวจจากประชากร 1,473 คน พบว่า ไม่มีการรับรู้ถึงสิทธิดังกล่าวถึง 24% ขณะที่รับรู้แล้วมี 39% และรับรู้บ้าง 37% นอกจากนี้ยังได้สำรวจกลุ่มที่ควรได้รับการขยายโอกาสดังกล่าวพบว่า กลุ่มลูกจ้างของรัฐมีมากถึง 77.87% รองลงมาคือกลุ่มบริษัทเอกชนและกลุ่มรัฐวิสาหกิจ 46.5% และ 44.4% ตามลำดับ
นายสมชาย เจริญอำนวยสุข ผู้อำนวยการสำนักกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว พม. ได้กล่าวว่า จากการผลักดันและขับเคลื่อนให้ผู้ชายมีสิทธิ์ในการลาคลอดได้นั้น ทางพม.ไม่ได้คำนึงถึงในแง่ของสิทธิ แต่คำนึงถึงความสำคัญของสถาบันครอบครัวเป็นสำคัญ ซึ่งการที่ให้พ่อแม่ร่วมดูแลบุตรตั้งแต่แรกเกินพร้อมกับได้ดูแลภรรยาไปพร้อม ๆ กัน เพราะจุดนี้จะเป็นจุดที่ทำให้เกิดการประสานสานสัมพันธ์เกี่ยวร้อยระหว่างสามี ภรรยา และบุตรได้เป็นอย่างดี ซึ่งจะส่งผลดีมากกว่าการให้ภรรยาดูแลบุตรแต่เพียงลำพัง
“คณะกรรมการนโยบายและยุทธศาสตร์การพัฒนาสถานภาพสตรีแห่งชาติ (กยส.) ขยายโอกาสให้ในส่วนของภาคเอกชนและรัฐวิสาหกิจได้รับสิทธิดังกล่าวด้วย ล่าสุดมติดังกล่าวได้ผ่านแล้ว แต่การแก้กฎหมายของภาคเอกชนยังต้องใช้ระยะเวลา ซึ่งได้มอบหมายให้กระทรวงแรงงานมีการรณรงค์และทำความเข้าใจกับผู้ประกอบการ”
อย่างไรก็ตาม มติครม. ได้ระบุว่าพ่อที่จะมีสิทธิลาได้นั้นต้องเป็นสามีภรรยากันถูกต้องตามกฎหมาย แต่ทาง พม. กำลังพยายามแก้ไขมติดังกล่าว ไม่ว่าจะสมรสกันอย่างถูกกฎหมายหรือไม่ แต่ถ้าเป็นพ่อของลูก ก็ควรที่จะมีสิทธิลาได้ เพราะอยากให้เห็นถึงความสำคัญของครอบครัวเป็นสำคัญ
นายจะเด็ด เชาวน์วิไล ผู้อำนวยการมูลนิธิหญิง-ชายก้าวไกล มองว่า การที่ภาครัฐที่สิทธิผู้ชายในการหยุดลาคลอด 15 วันนี้ ไม่เพียงพอ ซึ่งน่าจะเพิ่มเป็น 1 เดือน เพราะว่าร่างกายของผู้หญิงยังต้องใช้ระยะเวลาปรับตัวสูง แต่กฎหมายนี้เป็นเครื่องมือสำคัญในการปรับทัศนคติของผู้ชายในการช่วยภรรยาเลี้ยงดูบุตร ถือว่าเป็นการสร้างนิยมขึ้นมาใหม่ และเห็นว่า หน่วยงานเอกชนและสหภาพแรงงานควรมีบทบาทในการผลักดันเรื่องนี้ด้วย
ขณะที่ในหน่วยงานของรัฐได้มีการเปิดโอกาสให้สิทธิแก่พ่อในการลาคลอดแล้ว โดยผู้ช่วยศาสตราจารย์ปารีณา ศรีวณิชย์ ผู้ช่วงอธิการบดี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้เล่าว่า ทางจุฬาฯ ได้เป็นหน่วยงานราชการอันดับแรก ๆ ในการใช้สิทธิพ่อลาคลอด โดยเรียกว่า “การดูแลบุตรและภรรยาหลังคลอด” โดยให้ความสำคัญกับบุตรที่จะต้องมีพ่อแม่ให้ความอบอุ่นแต่แรกเกิด โดยมีการยื่นระเบียบดังกล่าวแก่คณะกรรมการนโยบายบุคลากรของสภาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในปี 2552 ซึ่งในขณะนั้น ได้ขอให้สิทธิพ่อสามารถลาคลอดได้ในระยะเวลา 1 เดือน แต่หลังจากยื่นข้อเสนอไปแล้ว ในที่สุดได้ข้อสรุปว่าให้พ่อสามารถลาคลอดได้ 10 วัน โดยมีเงื่อนไขว่า จะต้องเป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายและในตลอด 10 วันนั้นจะมีเงินเดือนตามปกติ และนอกจากนี้ยังได้เปิดเผยข้อมูลอีกว่าในสำหรับประเทศที่พัฒนาแล้ว (OECD) มีการให้สิทธิพ่อลาคลอดได้มากถึง 1 ปี ถ้าเป็นกรณีที่มีการจ่ายเงินเดือนตามปกติจะสามารถใช้สิทธิได้ถึง 7-8 สัปดาห์
สิ่งนี้สามารถสะท้อนได้ว่า ต่างประเทศให้ความสำคัญการสิทธิดังกล่าว และเป็นการแสดงถึงการให้ความสำคัญในเรื่องการดูแลครอบครัว ซึ่งประเทศไทยเองยังมีการผลักดันอยู่เรื่อยๆ แต่ยังไม่เป็นคลื่นลูกใหญ่พอที่จะแสดงพลังให้เห็นถึงความสำคัญเท่าไหร่นัก ฉะนั้น นอกจากจะมีมติครม.แล้ว หน่วยงานภาครัฐและเอกชนต้องมีการกำหนดนโยบายและมาตรการออกมา เพื่อให้สิทธิดังกล่าวสร้างประโยชน์ให้กับสถาบันครอบครัวอย่างแท้จริง