Unseen...วัดมหรรณพาราม

16 ธันวาคม 2555

พายุใหญ่ฝนฟ้าคะนองทั่วกรุงเทพฯ ในคืนวันที่ 30 ต.ค. 2555 เกิดความเสียหายไปทั่ว เช่น ต้นไม้โค่นล้ม ไฟฟ้าดับ เป็นต้น แต่ที่สร้างความตกอกตกใจแก่ผู้คนคือ เจดีย์อายุ 162 ปี ในวัดมหรรณพารามหักโค่น

พายุใหญ่ฝนฟ้าคะนองทั่วกรุงเทพฯ ในคืนวันที่ 30 ต.ค. 2555 เกิดความเสียหายไปทั่ว เช่น ต้นไม้โค่นล้ม ไฟฟ้าดับ เป็นต้น แต่ที่สร้างความตกอกตกใจแก่ผู้คนคือ เจดีย์อายุ 162 ปี ในวัดมหรรณพารามหักโค่น

เหตุอย่างนี้หลายคนวิตกว่าจะเป็นลางร้าย เพราะคนไทยมักเชื่อเรื่องโชคเรื่องลาง โดยเฉพาะเมื่อบ้านเมืองมีสภาวการณ์ล่อแหลมว่าจะเกิดความรุนแรงทางสังคมและการเมือง

พระราชสุตกวี เจ้าอาวาสวัดมหรรณพาราม เปรียญธรรม 9 ประโยค เล่าให้ฟังแบบชาวพุทธว่า เรื่องอย่างนี้ไม่ใช่เหตุเภทภัยหรือลางสังหรณ์อะไร พระเจดีย์ที่ส่วนยอดหัก ได้สร้างมานานตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 ขณะที่หักโค่นอยู่ในช่วงที่ทางวัดขออนุญาตกรมศิลปากร ทาสีเพื่อรับงานกฐินพระราชทาน โดยได้ตั้งนั่งร้านเพื่อทำงาน หลังจากทาสีเจดีย์องค์ที่คู่กันเรียบร้อย

ส่วนของพระเจดีย์ที่หักโค่นได้แก่ส่วนยอด หรือตั้งแต่ปลี หรือปล้องไฉน เป็นปูนปั้น มีเหล็กเป็นแกนกลาง ส่วนยอดปั้นเป็นดอกบัวบาน ยังเก็บไว้ด้านข้างฐานเจดีย์ มี 2 ท่อน

ชาวบ้านอย่างเราๆ เห็นแล้วตีราคาค่าซ่อมแซมไม่เกิน 1 แสนบาท (หนึ่งแสนบาท) โดยคิดจากค่าแรง ค่าวัสดุ และค่าฝีมือช่าง แต่กรมศิลปากร บอกว่าของนี้มีราคา ค่าซ่อมแซมประมาณ 1 ล้านบาท จึงขอให้วัดหาเงินมาช่วยซ่อมแซมด้วย

ทางวัดจึงติดประกาศามจุดต่างๆ ในวัดและที่กำแพงวัด เชิญชวนคนบริจาคทรัพย์ช่วยซ่อมพระเจดีย์ ตามที่กรมศิลปากรร้องขอมา

ท่านเล่าว่าเมื่อมีข่าวออกไป พุทธศาสนิกชนท่านหนึ่งอยู่ถึงจังหวัดชัยภูมิอ่านหนังสือพิมพ์แล้วตัดข่าวห่อปัจจัย 40 บาท ส่งไปรษณีย์มาร่วมซ่อมพระเจดีย์ด้วย ท่านได้รับแล้วสั่งพระให้ออกใบอนุโมทนา และขอบใจไปทันทีเลย

พระเจดีย์วัดมหรรณพาราม มี 3 องค์ องค์ใหญ่ตรงกลาง ทรงกลม รัชกาลที่ 4 ทรงสร้าง

อีก 2 องค์ อยู่ที่ด้านซ้ายและขวาของเจดีย์องค์ใหญ่ สร้างโดยกรมหมื่นอุดมรัตนราษี (พระองค์เจ้าอรรณพ) องค์ที่หักนั้น คือ 1 ใน 2 องค์ ที่พระองค์เจ้าอรรณพสร้าง มีอายุ 162 ปี

วัดต้นแบบโรงเรียนประถม

วัดมหรรณพาราม เป็นวัดที่ได้รับการจารึกในประวัติศาสตร์การศึกษาของประเทศไทย ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 โปรดเกล้าฯ ให้ตั้งโรงเรียนประถมศึกษาสอนลูกหลานชาวบ้านขึ้นเป็นแห่งแรก เมื่อ พ.ศ. 2427 ก่อนจะขยายไปทั่วราชอาญาจักร

อาคารที่เป็นโรงเรียนแห่งแรกของไทยคือ หอสวดมนต์ อยู่ที่คณะ 1 ในวัดมหรรณพาราม ในขณะนี้

วัดนี้สร้างเป็นวัดสุดท้ายในรัชกาลที่ 3 ผู้สร้างคือกรมหมื่นอุดมรัตนราษี หรือพระองค์เจ้าอรรณพ พระราชโอรส ในรัชกาลที่ 3 สถาปัตยกรรม และศิลปะการก่อสร้างจึงเป็นศิลปะไทยผสมจีน ซึ่งเป็นพระราชนิยม

สิ่งก่อสร้าง และปูชนียวัตถุในวัดมีมาแต่รัชกาลที่ 3 และ 4 ยกเว้นศาลาวิปัสสนา ที่ พล.อ.อาทิตย์ กำลังเอก และคุณหญิงประภาศรี สร้างถวาย เป็นของใหม่ นอกจากนั้นเป็นของโบราณ นับตั้งแต่พระอุโบสถ วิหาร พระเจดีย์ และกุฏิสงฆ์

ปูชนียวัตถุที่ประชาชนไปกราบบูชากันเป็นประจำได้แก่ หลวงพ่อพระร่วง พระพุทธรูปสุโขทัยเป็นทองคำลูกบวบที่ชะลอมาจากจังหวัดสุโขทัย

พระราชสุตกวี กล่าวว่าประวัติหลวงพ่อพระร่วงทองคำ วัดมหรรณพาราม ชัดเจนมาก เช่นว่าเคยประดิษฐานที่วัดอะไร ที่จังหวัดสุโขทัย ชะลอมาเมื่อไร โดยมีจุดประสงค์อย่างไร มีรายละเอียดบันทึกไว้

นอกจากนั้นยังมีเกร็ดประวัติศาสตร์ว่าวันที่ชะลอลงแพล่องจากเหนือมากรุงเทพฯนั้น ไม่สามารถจะเคลื่อนย้ายได้ ตกลางคืนไปเข้าฝันเจ้าหน้าที่ว่าถ้าเอาไปเป็นประธานจะไม่ไป แต่ไปเป็นรองก็ยินดีไป ตอนเช้าจึงบวงสรวงบอกกว่าวว่าจะอัญเชิญมาเป็นรองจึงเคลื่อนย้ายได้

เมื่อมาถึงก็เป็นรองตามที่บวงสรวง เพราะใช้เวลาเดินทางรอนแรมนานหลายเดือน มาถึงพระอุโบสถสร้างเสร็จ มีพระประธานที่สร้างขึ้นใหม่ ศิลปะสมัยกรุงศรีอยุธยา มีนามว่าหลวงพ่อบุญญฤทธิ์ จึงต้องสร้างวิหาร ประดิษฐานพระร่วงขึ้นใหม่

ส่วนพระประธานในพระอุโบสถ เป็นพระพุทธรูปปั้นด้วยปูนลงรักปิดทอง หน้าตักกว้าง 4 ศอก 7 นิ้ว สูง 5 ศอก 1 คืบ 7 นิ้ว ประดิษฐานอยู่บนฐานชุกชียาว 2 วา 3 ศอก 3 นิ้ว กว้าง 2 วา 1 ศอก 1 คืบ 4 นิ้ว ฐานสูง 2 ศอก 1 นิ้ว ต่อฐานขึ้นไป 3 ชั้น เรียกว่า บัลลังก์ ทำเป็นบัวหงาย บัวคว่ำ และกระจังลงรักปิดทองและประดับกระจกสีต่างๆ หันพระพักตร์ ไปทางทิศตะวันตก เป็นพระพุทธรูปแบบสมัยกรุงศรีอยุธยา แต่งามสง่าเป็นเลิศ

หลวงพ่อชอบว่าวและตะกร้อ

ชื่อเสียงความศักดิ์สิทธิ์ นั้น เห็นได้ว่าหลวงพ่อพระร่วง เรียกศรัทธาประชาชนให้ไปบูชาตลอด ถ้าจะบูชาให้ถูกใจ ท่านให้บูชาว่าวและตะกร้อ

พระราชสุตกวี เล่าตำนานว่า จากการแข่งขันตะกร้อและว่าวที่ท้องสนามหลวงที่เคยมีในอดีตนั้น ผู้ที่ร่วมแข่งกีฬาทั้ง 2 ชนิดมองไปในท้องฟ้า เพื่อเชียร์ว่าวหรือตะกร้อ (ลอดบ่วง) เคยเห็นรูปคล้ายหลวงพ่อพระร่วงลอยเหนือสนามหลวง จึงทึกทักว่าหลวงพ่อพระร่วงชอบกีฬา 2 ชนิด จึงเริ่มถวายว่าวกับตะกร้อนับแต่นั้นมา

สำหรับท่านพุทธศาสนิกชน เมื่อรู้อย่างนี้ไม่ต้องหาว่าวและตะกร้อจากข้างนอก ไปทำบุญที่วิหาร หยิบตะกร้อและว่าวถวายได้เลย

สิ่งที่น่าชมในวัดนอกจากที่กล่าวแล้ว ก็ได้แก่หอไตรทรงไทย มีภาพเขียนเกี่ยวกับเซียนในตำนานของจีน ที่บานประตูหน้าต่าง อยากดูให้ใกล้ชิดก็ทำไม่ได้ เพราะทางขึ้นถูกปิดตาย จะดูได้ก็แต่หอสวดมนต์ หอกลอง และหอระฆังใหญ่ที่อยู่ด้านหน้า ซึ่งเป็นของโบราณ

เมื่อชมของในวัดเสร็จก่อนออกประตูมองไปซ้ายมือจะพบพระบรมรูปหล่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ที่กรมศิลปากร หล่อเมื่อวันที่ 2 พ.ย. พ.ศ 2527 เนื่องในโอกาสที่ครบ 100 ปีแห่งการวางรากฐานการศึกษาของชาติ ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงเริ่มเมื่อ พ.ศ. 2427

เมื่อจะออกประตูให้มองดูข้างบนที่ซุ้มประตู จะพบชื่อประตูที่ตั้งอิงหลักธรรมและเป้าหมายการศึกษาและปฏิบัติธรรมอย่างแยบคาย คือชื่อ ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ

ประวัติพระราชสุตกวี

ในช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ท่านที่ไปไหว้พระร่วง จะได้รับปฏิทินแขวนรูปพระร่วงคนละ 1 ใบ ฟรี ความเป็นมาของปฏิทินนั้น พระราชสุตกวีเล่าว่า เมื่อไปกราบสมเด็จพระมหาธีราจารย์ วัดชนะสงคราม เมื่อยังมีชีวิตนั้น ท่านถามว่าในวัดมีอะไรสำคัญบ้าง ก็เล่าให้ฟังถึงหลวงพ่อพระร่วง เมื่อถามแนวประชาสัมพันธ์ให้คนรู้จัก ท่านก็นึกถึงการทำปฏิทิน รูปหลวงพ่อพระร่วง เป็นการประชาสัมพันธ์ตลอดปี เพราะผู้รับจะต้องแขวนบูชาและดูปฏิทินไปด้วย ดีกว่าโฆษณาด้วยวิธีอื่นๆ

ก่อนจะเป็นเจ้าอาวาส วัดมหรรณพาราม พระราชสุตกวี เมื่อครั้งที่เป็นพระมหาบุญธรรมสุตธมฺโม เปรียญธรรม 5 ประโยค เคยเป็นเจ้าอาวาสวัดพุทธาราม อ.พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี เป็นเวลา 6 ปี เพื่อช่วยสร้างวัด ลาออกจากเจ้าอาวาสเพื่อมาเรียนบาลีประโยคสูงต่อ โดยมาพักที่วัดมหรรณพาราม จนกระทั่งสอบได้ชั้นสูงสุดคือ ป.ธ.9 เมื่อ พ.ศ. 2541 แต่กว่าจะได้ประโยคสูงสุดนี้สอบตกแล้วตกอีก ถึง 15 ปี จากนั้น พ.ศ. 2542 เป็นเจ้าคุณพระศรีธรรมเมธี และเป็นเจ้าอาวาสวัดมหรรณพารามเมื่อ พ.ศ. 2548 และเป็นพระราชสุตกวี พ.ศ. 2550

ท่านเกิดวันที่ 15 ก.ค. 2488 ที่ อ.บ้านหมี่ จ.ลพบุรี เป็นลูกกำพร้า เกิดมาไม่เห็นหน้าแม่ ส่วนพ่อไปมีเมียใหม่ จึงอยู่ในความดูแลของยาย ป้า และน้า จนกระทั่งอายุ 20 ปี จึงบวชเณรให้แม่ก่อน 1 เดือน แล้วบวชพระเรื่อยมา เป็นสมภาร 2 วัด และได้มอบร่างกายให้เป็นอาจารย์ใหญ่โรงพยาบาลศิริราช ดวงตามอบให้โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ เพราะไม่มีญาติ และไม่อยากให้เป็นภาระแก่คนข้างหลัง จึงขอเป็นอาจารย์ใหญ่ดีกว่า

Thailand Web Stat