พระยาจักรีกลับชาติมาเกิด
เมืองไทยไม่เคยขาดแคลน “ไส้ศึก” เลยตั้งแต่อดีต และอาจจะถึงปัจจุบันด้วย ตัวอย่างของไส้ศึกที่คนไทยรุ่นก่อนรู้จักคงไม่มีใครเกิน “พระยาจักรี” สมัยกรุงศรีอยุธยาแตกครั้งที่ 1 ช่วงนั้นประมาณ พ.ศ. 2111 สมเด็จพระมหาจักรพรรดิพลาดท่าเสียทีในการทำสงครามกับพระเจ้าบุเรงนอง จึงยอมยกช้างเผือก 4 ช้าง และยังต้องส่งพระราเมศวร พระยาจักรี และพระยาสุนทรสงครามไปเป็นตัวประกัน ต่อมาพระเจ้าบุเรงนองยกทัพมาล้อมกรุงศรีอยุธยาเป็นเวลานานแต่ยังตีไม่ได้ พระยาจักรีได้แปรพักตร์โดยฝ่ายพม่าวางแผนทำทีให้พระยาจักรีหลบหนีจากที่คุมขังออกมาได้ เพื่อให้สมจริงสมจังพม่าได้ประหารชีวิตผู้คุมเป็นการลงโทษ บางข่าวก็บอกว่า พม่าทำอุบายส่งตัวพระยาจักรีกลับคืนมาให้ สมเด็จพระมหินทราธิราชซึ่งครองกรุงศรีอยุธยา ขณะนั้นดีพระทัยที่พระยาจักรีกลับมา เพราะไม่มีขุนนางมือดีที่จะสู้กับพม่า จึงแต่งตั้งให้เป็นแม่ทัพ
เมืองไทยไม่เคยขาดแคลน “ไส้ศึก” เลยตั้งแต่อดีต และอาจจะถึงปัจจุบันด้วย ตัวอย่างของไส้ศึกที่คนไทยรุ่นก่อนรู้จักคงไม่มีใครเกิน “พระยาจักรี” สมัยกรุงศรีอยุธยาแตกครั้งที่ 1 ช่วงนั้นประมาณ พ.ศ. 2111 สมเด็จพระมหาจักรพรรดิพลาดท่าเสียทีในการทำสงครามกับพระเจ้าบุเรงนอง จึงยอมยกช้างเผือก 4 ช้าง และยังต้องส่งพระราเมศวร พระยาจักรี และพระยาสุนทรสงครามไปเป็นตัวประกัน ต่อมาพระเจ้าบุเรงนองยกทัพมาล้อมกรุงศรีอยุธยาเป็นเวลานานแต่ยังตีไม่ได้ พระยาจักรีได้แปรพักตร์โดยฝ่ายพม่าวางแผนทำทีให้พระยาจักรีหลบหนีจากที่คุมขังออกมาได้ เพื่อให้สมจริงสมจังพม่าได้ประหารชีวิตผู้คุมเป็นการลงโทษ บางข่าวก็บอกว่า พม่าทำอุบายส่งตัวพระยาจักรีกลับคืนมาให้ สมเด็จพระมหินทราธิราชซึ่งครองกรุงศรีอยุธยา ขณะนั้นดีพระทัยที่พระยาจักรีกลับมา เพราะไม่มีขุนนางมือดีที่จะสู้กับพม่า จึงแต่งตั้งให้เป็นแม่ทัพ
จากนั้น พระยาจักรีเริ่มวางแผนบ่อนทำลายกรุงศรีอยุธยาทีละน้อย การป้องกันพระนครตรงไหนแข็งแกร่งก็หาทางย้ายนายทหารที่คุมด้านนั้นออกไปโดยสร้างเรื่องใส่ความสารพัด และเอาคนที่อ่อนแอเข้าไปแทน ค่อยๆ ทำเช่นนี้เรื่อยไปจนแม่ทัพนายกองทั้งหลายขวัญเสีย ระส่ำระสาย ขาดขวัญกำลังใจในการสู้รบ ถึงจุดหนึ่ง พระยาจักรีก็ให้สัญญาณพม่าบุกตีกรุงศรีอยุธยา จนไทยเสียกรุงให้แก่พม่าในที่สุดเมื่อ พ.ศ. 2112
พระยาจักรีได้ไปเฝ้าพระเจ้าบุเรงนองเพื่อทูลขอพระราชทานรางวัล โดยหวังว่า พระเจ้าบุเรงนองจะแต่งตั้งให้เป็นกษัตริย์ครองเมือง และเป็นประเทศราชขึ้นตรงกับพม่า แต่พระเจ้าบุเรงนองเห็นว่า พระยาจักรีทำได้แม้กระทั่งทรยศบ้านเกิดเมืองนอนของตน ไฉนเลยคนคนนี้จะซื่อสัตย์จงรักภักดีต่อพม่าซึ่งไม่ใช่บ้านเกิดเมืองนอนของตน ต่อไปภายภาคหน้าก็คงทรยศต่อกรุงหงสาวดีได้เช่นเดียวกัน จึงสั่งประหารชีวิตด้วยการตอกมือไว้กับหีบของรางวัลที่ประทานให้พระยาจักรี และจับพระยาจักรีถ่วงน้ำพร้อมกับหีบรางวัลดังกล่าว
เรื่องราวของพระยาจักรีถือว่าคลาสสิกมาก แม้ได้รับการชุบเลี้ยงจนเติบใหญ่ในราชการ ถวายสัตย์ปฏิญาณถือน้ำพิพัฒน์สัตยาตามธรรมเนียมโบราณ แต่ยังกล้าที่จะทรยศต่อบ้านเมืองเพราะความโลภและมักใหญ่ใฝ่สูง ถ้าเราเชื่อในหลักพระพุทธศาสนาเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด คนตายแล้วจะเกิดใหม่ในภพหน้าไปเรื่อยๆ หากยังไม่นิพพาน ทำให้สงสัยว่าพระยาจักรียังเกิดมาเป็นคนไทยอยู่หรือเปล่า?
จบเรื่องของพระยาจักรี คราวนี้มาขึ้นเรื่องใหม่ที่ยืนยันว่าไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับพระยาจักรีจริงๆ ผมรู้จักและเคารพนับถือผู้หลักผู้ใหญ่หลายท่านซึ่งเป็นอดีตข้าราชการกระทรวงต่างประเทศในระดับเอกอัครราชทูตหลายประเทศ วันหนึ่งผมได้มีโอกาสขอความรู้ท่านเหล่านี้เกี่ยวกับบทบาทของรัฐมนตรีต่างประเทศโดยทั่วไป ซึ่งท่านเหล่านี้ให้ความรู้ว่า ตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศมีความสำคัญมากเพราะเป็นทั้งหู ตา ปาก ของประเทศและรัฐบาล นอกจากเฝ้าดู ฟัง ในสิ่งที่จะกระทบต่อผลประโยชน์ของชาติแล้ว หากมีคนอื่นมาพูดว่าประเทศ รัฐมนตรีต่างประเทศก็ต้องออกตอบโต้ด้วย เป็นที่เข้าใจกันดีว่า กิจการที่เกี่ยวกับต่างประเทศนั้น สิ่งใดที่รัฐมนตรีต่างประเทศพูด ก็เหมือนพูดในนามประเทศ สิ่งใดที่รัฐมนตรีต่างประเทศทำก็เหมือนกับทำในนามของประเทศ
เมื่อถามถึงบทบาทของรัฐมนตรีต่างประเทศในการส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีกับต่างประเทศ โดยเฉพาะกับประเทศเพื่อนบ้าน กับบทบาทของการรักษาผลประโยชน์ของประเทศไทย จุดลงตัวและความสมดุลอยู่ตรงไหน เพราะมักมีการอ้างเสมอว่า เราต้องคิดถึงความสัมพันธ์อันดีกับเพื่อนบ้าน เรื่องนี้ ได้รับคำตอบตรงกันจากอดีตท่านทูตเหล่านั้นว่า ความสัมพันธ์อันดีนั้นต้องรักษาและเพิ่มพูน แต่ต้องดีด้วยกันทั้งสองฝ่าย เราดีกับเขา เขาก็ต้องดีกับเรา รัฐมนตรีต่างประเทศทุกคนต้องปกป้องผลประโยชน์ของประเทศเป็นสำคัญ รัฐมนตรีต่างประเทศต้องรู้บทบาทของตนในความพยายามหาจุดลงตัวในเรื่องผลประโยชน์ของชาติกับการส่งเสริมความสัมพันธ์อันดี ไม่ใช่ยอมไปเสียทุกอย่างโดยอ้างว่าเพื่อรักษาความสัมพันธ์อันดีเอาไว้
เมื่อยกตัวอย่าง บทบาทของรัฐมนตรีต่างประเทศของประเทศหนึ่งในโลก สมมติที่ถูกประชาชนในประเทศนั้นมองว่าทำเพื่อต่างชาติมากกว่าประเทศตน ทำเพื่อประโยชน์ของบุคคลมากกว่าประเทศชาติ ท่านหนึ่งบอกว่า ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ในชีวิตก็คงได้เห็นรัฐมนตรีต่างประเทศแบบนี้คนเดียวในโลก เพราะรัฐมนตรีต่างประเทศไหนก็ต้องทำเพื่อประโยชน์ของประเทศนั้นเป็นสำคัญ ไม่ใช่ทำเพื่อต่างชาติ หรือพูดจาที่ทำให้คนในประเทศเกิดอาการใจฝ่อ ทำให้คนในชาติเสียขวัญกำลังใจ รัฐมนตรีต่างประเทศไปเชียร์ผู้นำต่างชาติที่ด่าว่าคนในประเทศของตนเอง ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าอับอายมากที่เล่นการเมืองแบบไม่ดูตาม้าตาเรือ อีกท่านหนึ่งมีความเห็นสอดคล้องกันว่า พฤติกรรมของรัฐมนตรีต่างประเทศในโลกสมมติข้างต้นหากมีจริง ถือว่าไม่เหมาะไม่ควรอย่างยิ่ง เพราะส่อเจตนาหลายอย่างที่ช่วยปกป้องต่างชาติมากกว่ารักษาผลประโยชน์ของชาติตนเอง เมื่อผู้นำต่างชาติด่าว่าประเทศตนก็ไม่เคยชี้แจงตอบโต้ ตรงกันข้าม กลับสนับสนุนให้ผู้นำต่างชาติด่าว่าคนของประเทศตนเสียอีก และช่วยปกป้องต่างชาติแม้แต่ในรัฐสภาของตนเอง รัฐมนตรีต่างประเทศที่สมมติขึ้นมาแบบนี้ถือว่า มี “พฤติกรรมชอบกล”
เราหวังว่า คงไม่มีพระยาจักรีกลับชาติมาเกิดในไทยอีก ถ้ามีก็ถือว่าเป็นกรรมของประเทศ อย่างไรก็ดี เรามีความเชื่อมั่นในความเป็น “มืออาชีพ” ของข้าราชการไทยว่า จะทำหน้าที่ความรับผิดชอบปกป้องผลประโยชน์ และศักดิ์ศรีของประเทศจนสุดความสามารถ และช่วยกันคัดค้านคำสั่งที่ไม่ถูกต้องจากฝ่ายการเมือง และดำรงไว้ซึ่งหลักการในการทำงานอย่างมืออาชีพให้มั่นคงยืนยงตลอดไป