พระราชชายา เจ้าดารารัศมี (5)
พระราชชายา เจ้าดารารัศมี อยู่ที่นครเชียงใหม่ได้ 6 เดือนเศษ ก็เสด็จกลับกรุงเทพฯ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเรือยนต์เสด็จไปรับที่เมืองอ่างทองและเสด็จมาประทับแรมที่พระราชวังบางปะอิน
พระราชชายา เจ้าดารารัศมี อยู่ที่นครเชียงใหม่ได้ 6 เดือนเศษ ก็เสด็จกลับกรุงเทพฯ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเรือยนต์เสด็จไปรับที่เมืองอ่างทองและเสด็จมาประทับแรมที่พระราชวังบางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา พระราชทานสร้อยพระกรประดับเพชรเป็นการรับขวัญพระสนมเอก แล้วเสด็จกลับถึงกรุงเทพฯ ในวันที่ 20 พ.ย. 2452 ในวันที่ 1 ธ.ค.ปีเดียวกันนี้ ก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีพิธีขึ้นตำหนักใหม่ที่ได้ทรงสร้างไว้พระราชทานพระราชชายา เจ้าดารารัศมี ในพระราชวังสวนดุสิต พระราชทานเงินจำนวน 200 ชั่ง และพระราชทานเลี้ยงพระกระยาหาร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้านายฝ่ายเหนือที่ลงมาส่งเสด็จพระราชชายาที่กรุงเทพฯ ได้ร่วมโต๊ะเสวยทุกคน
พระราชชายา เจ้าดารารัศมี เสด็จไปประทับ ณ ตำหนักใหม่ในพระราชวังดุสิตได้ไม่ถึงปี ก็ต้องประสบกับความวิปโยคอย่างใหญ่หลวง เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบรมราชสวามีอันเป็นที่รักและเทิดทูนบูชาอย่างที่สุดได้เสด็จสวรรคต ในวันที่ 23 ต.ค. 2453 สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธสยามมกุฎราชกุมาร กรมขุนเทพทวารวดี ก็เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติสืบต่อจากสมเด็จพระบรมชนกนาถ
เมื่อสิ้นร่มพระบารมีอันเปรียบประดุจร่มโพธิ์ร่มไทรแห่งชีวิต อีกทั้งยังไม่มีพระโอรส พระธิดาเป็นเครื่องเหนี่ยวรั้ง อุ้มชู พระราชชายา เจ้าดารารัศมี จึงคิดอยากจะกลับไปใช้ชีวิตบั้นปลายในบ้านเกิดเมืองนอนที่เพียบพร้อมด้วยพระประยูรญาติอันสนิทสนมและคุ้นเคยกันมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย จนกระทั่งถึงปี 2457 เจ้าแก้วนวรัฐ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ พระเชษฐาต่างพระมารดาซึ่งขึ้นครองนครเชียงใหม่สืบต่อเจ้าอินทวโรรสสุริยวงศ์ ที่ถึงแก่พิราลัยตั้งแต่ปี 2452 ได้เข้ามาเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชชายา เจ้าดารารัศมีจึงถือโอกาสนี้กราบบังคมทูลถวายบังคมลา พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อเสด็จกลับไปประทับ ณ บ้านเกิดเมืองนอนเป็นการถาวร เมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานพระบรมราชานุญาตแล้วก็โปรดเกล้าฯ ให้มหาเสวกโท พระยาเวียงในพฤบาล สนม กรมวัง คุณท้าว เฒ่าแก่ จ่าโขลน ตามเสด็จตามเกียรติยศแห่งพระราชชายา อย่างการเสด็จกลับมาตุภูมิในครั้งแรก จนครบ 5 เดือน จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระยานิพัจน์ราชกิจขึ้นไปเปลี่ยน ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเช่นนี้เป็นเวลาปีเศษ พระราชชายา เจ้าดารารัศมี เห็นว่ามีพระประยูรญาติทางเชียงใหม่ทำหน้าที่รับผิดชอบแทนได้อยู่แล้ว เพื่อไม่ให้เป็นการลำบากรบกวนเบื้องพระยุคลบาท จึงขอพระราชทานให้งดเสีย
เมื่อเสด็จมาประทับที่เชียงใหม่พระราชชายา เจ้าดารารัศมี ทรงให้ความอุปถัมภ์ค้ำชูพระญาติพระวงศ์ทั้งทางเชียงใหม่ ลำปาง ลำพูน อย่างทั่วถึง ทรงสืบหาผู้แก่ผู้เฒ่าให้มาช่วยกันทำหลักฐานของวงศ์ตระกูลเครือญาติไว้อย่างเป็นลายลักษณ์อักษร เพื่อจัดพิมพ์ไว้เป็นหลักฐานและแจกจ่ายให้เป็นที่รู้สืบต่อมา ทรงเอาพระทัยใส่ในกิจการบ้านเมืองและช่วยเหลือราษฎร ทะนุบำรุงพระศาสนาส่งเสริมและอนุรักษ์ศิลปวัฒธรรมประเพณี วรรณคดีและอักษรศาสตร์ ทรงเป็นแบบอย่างแห่งขัตติยนารีผู้เสียสละ กล้าหาญ อดทน อุทิศตนเพื่อประโยชน์สุขของชาติบ้านเมืองและประชาชน ตั้งมั่นอยู่ในความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์และพระราชวงศ์จักรีอย่างเหนียวแน่น ขณะที่ประทับอยู่ในนครเชียงใหม่ พระราชชายา เจ้าดารารัศมี ทรงสอดส่องช่วยเหลือในกิจการต่างๆ ของรัฐบาลโดยตลอด เมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งโรงเรียนมหาดเล็กหลวงขึ้นที่เชียงใหม่ และโปรดเกล้าฯ ให้พระราชชายา เจ้าดารารัศมี ทรงเป็นกรรมการด้วยผู้หนึ่ง พระองค์ก็ได้เอาพระทัยใส่ช่วยเหลืออำนวยความสะดวกและจัดการทุกสิ่งทุกอย่างให้ด้วยความเรียบร้อย ทั้งยังทรงอุดหนุนค่าใช้จ่ายในการเล่าเรียนให้แก่เด็กจำนวนหนึ่ง ต่อมาเมื่อโรงเรียนมหาดเล็กหลวงที่เชียงใหม่ยุบรวมกับโรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัยในกรุงเทพฯ แล้ว สมาคมนักเรียนเก่าวชิราวุธวิทยาลัยยังคงสำนึกในพระคุณที่พระราชชายา เจ้าดารารัศมี ได้ทรงสนับสนุนโรงเรียนมหาดเล็กหลวงที่เชียงใหม่มาแต่ต้น จึงทูลเชิญให้เป็นสมาชิกพิเศษของสมาคมฯ เพื่อเป็นเกียรติมาจนทุกวันนี้
ทรงอุดหนุนการศึกษาของสงฆ์ และการศึกษาในโรงเรียนชายหญิงของนครเชียงใหม่ พระราชชายาฯ ได้พระราชทานที่ดินและพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ ให้แก่ โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย และโรงเรียนดาราวิทยาลัย โดยเฉพาะโรงเรียนดาราวิทยาลัยนั้น แต่เดิมเรียกว่า โรงเรียนสตรี ภายหลังได้รับพระราชทานนามจาก พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ว่า โรงเรียนพระราชชายา และเปลี่ยนเป็นโรงเรียนดาราวิทยาลัย ตามพระนามของพระราชชายาฯ เมื่อ ปี 2452
พระราชชายา เจ้าดารารัศมี ได้ทรงบริจาคทรัพย์ส่วนพระองค์สร้างและทำนุบำรุงสถานที่ต่างๆ ในนครเชียงใหม่ เช่น การปฏิสังขรณ์ พระบรมธาตุ วิหาร ลานโบสถ์ของวัดต่างๆ ในนครเชียงใหม่ สร้างวิหารให้วัดไชยมงคลหรือวัดป่ากล้วย อ.สารภี สร้างวิหารให้วัดขุนเส อ.หางดง สร้างพระวิหารและพระบรมธาตุที่ อ.จอมทอง สร้างพระวิหารให้วัดขี้เหล็ก อ.แม่ริม สร้างตึก ณ เชียงใหม่ ให้แก่ โรงพยาบาลแมคคอร์มิค บริจาคเงินซื้อรถยนต์แก่สถานีอนามัยนครเชียงใหม่1 คัน ทรงเป็นเจ้าภาพอุปสมบทพระภิกษุสามเณรอยู่เสมอ ทรงอุปัฏฐากโดยไม่เคยทอดทิ้ง แม้ในขณะที่ประทับอยู่ในกรุงเทพฯ ในฐานะพระสนมเอก ก็ได้ทรงอุปการะช่วยเหลือพระภิกษุสามเณรที่ไปจากทางภาคเหนือ ลงไปศึกษาเล่าเรียนในกรุงเทพฯ ทุกๆ รูปอยู่ตลอดเวลา
นอกจากทรงอุดหนุนการศึกษาของสงฆ์แล้ว ทรงทำนุบำรุงศาสนา บูรณะวัดวาอารามต่างๆ มากมายทั่วนครเชียงใหม่ พระราชชายาฯ ได้พระราชทานที่ดินส่วนพระองค์อันเป็นที่ตั้งของ พระตำหนักม่อนจ๊อกป๊อก บนดอยสุเทพ ถวายแก่ วัดพระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหาร นอกจากนั้น ได้ทรงรวบรวมพระอัฐิพระเจ้านครเชียงใหม่กับพระอัครมเหสีแต่ก่อนมาทุกพระองค์ กับทั้งอัฐิของพระราชวงศ์ฝ่ายเหนือทั้งปวงซึ่งเป็นพระประยูรญาติของพระองค์ มาบรรจุรวมกันไว้ ณ กู่เจ้านายฝ่ายเหนือ ที่ วัดสวนดอก
พระราชชายาฯ ได้ทรงโปรดให้ใช้ พระตำหนักดาราภิรมย์ ณ สวนเจ้าสบาย อ.แม่ริม เป็นแปลงทดลองการเกษตรส่วนพระองค์ขนาดใหญ่ ทรงโปรดให้ เจ้าชื่น สิโรรส พระญาติสาย ราชวงศ์เจ้าเจ็ดตน มาดูแลควบคุมพัฒนาการเกษตร ทรงริเริ่มส่งเสริมการปลูกใบยาสูบเวอร์จิเนีย ใบชา ใบหม่อน ดอกไม้เมืองหนาว และกล้วยไม้ ทั่วนครเชียงใหม่และหัวเมืองใกล้เคียง นอกจากนั้น พระองค์ยังทรงทดลองปลูกพืชใหม่ๆ อยู่เสมอ เช่น ทรงทดลองปลูกกะหล่ำปลีสีม่วง แครอต แตงโมบางเบิด แคนตาลูป รวมทั้งลำไย ผลไม้ขึ้นชื่อของเชียงใหม่ในปัจจุบัน พระองค์ท่านก็ทรงนำมาปลูกเป็นพระองค์แรก ที่สำคัญ ทรงให้มีการศึกษาพัฒนาด้านการเกษตรอยู่เสมอ และทรงเน้นการให้ความรู้การเกษตรสมัยใหม่ให้เข้าถึงประชาชนของพระองค์อย่างแท้จริง พระอัจฉริยะภาพและพระกรุณาธิคุณดังกล่าว ปรากฏให้เห็นถึงปัจจุบันที่ การปลูกใบชา ใบหม่อน กล้วยไม้ และลำไย กระจายอยู่ทั่วนครเชียงใหม่และเมืองใกล้เคียง ประชาชนต่างยึดถือเป็นอาชีพหลักสร้างรายได้เลี้ยงครัวเรือนของตน
พระราชชายาฯ ทรงเป็นเจ้านายสตรีชั้นนำของประเทศ ทรงเป็นสมาชิกกิตติมศักดิ์ ของราชสมาคมกุหลาบแห่งประเทศอังกฤษ ทรงริเริ่มและสนับสนุนการปลูกกุหลาบทั่วนครเชียงใหม่ และหัวเมืองใกล้เคียง ภายหลังทรงพบกุหลาบขนาดใหญ่พันธุ์หนึ่ง ซึ่งมีสีชมพูระเรื่อ ส่งกลิ่นหอมตลอดเวลา ทำให้ทรงหวนระลึกถึงพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชสวามีที่เสด็จสวรรคตไปแล้ว จึงได้ประทานนามกุหลาบพันธุ์นั้นตามพระนามในพระราชสวามีว่า “จุฬาลงกรณ์” พระราชชายาฯ ทรงโปรดให้สร้างแปลงเพาะพันธุ์ที่พระตำหนักม่อนจ๊อกป๊อก บนดอยสุเทพ ซึ่งมีอากาศเย็นทั้งปี เมื่อเสด็จมาประทับ ณ พระตำหนักดาราภิรมย์ ในช่วงปลายพระชนม์ชีพ ก็ทรงโปรดให้ปลูกกุหลาบ “จุฬาลงกรณ์” โดยรอบพระตำหนัก และทรงตัดดอกถวายสักการะพระราชสวามี ซึ่งต่อมาภายหลัง สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นำกุหลาบ “จุฬาลงกรณ์” มาเพาะพันธุ์และทรงโปรดให้ปลูกประดับโดยรอบพระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์