พระราชชายา เจ้าดารารัศมี (จบ)

26 พฤษภาคม 2556

เมื่อพระราชชายา เจ้าดารารัศมี เข้ามารับราชการสนองพระเดชพระคุณเป็นพระสนมเอก ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น นอกจากจะมีวงศ์วานว่านเครือทางเชียงใหม่ตามมารับใช้ใกล้ชิดแล้ว

เมื่อพระราชชายา เจ้าดารารัศมี เข้ามารับราชการสนองพระเดชพระคุณเป็นพระสนมเอก ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น นอกจากจะมีวงศ์วานว่านเครือทางเชียงใหม่ตามมารับใช้ใกล้ชิดแล้ว พระราชชายา เจ้าดารารัศมี ยังได้อุปการะเลี้ยงดูหลานอีกหลายคนเช่น เจ้าเรณุวรรณ เจ้ากาวิละวงศ์ เจ้าลดาคำ พระองค์ได้ส่งเจ้าลดาคำไปศึกษาต่อยังประเทศฝรั่งเศสพร้อมกับเจ้ากาวิละวงศ์ เมื่อจบการศึกษาจากฝรั่งเศสแล้ว เจ้าลดาคำก็ได้เป็นหม่อมใน พล.อ. พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน (ต้นราชสกุล ฉัตรไชย) ทรงมีพระธิดา 2 องค์ คือ ม.จ.หญิงฉัตรสุดา วงศ์ทองศรี และ ม.จ.หญิงภัทรลดา ดิศกุล ส่วนเจ้ากาวิละวงศ์ ณ เชียงใหม่ เมื่อสำเร็จการศึกษากลับมาประเทศไทยแล้ว ได้เสกสมรสกับเจ้าศิริประกาย ณ เชียงใหม่ พระธิดาของเจ้าแก้วนวรัฐ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่องค์สุดท้าย มีบุตรธิดา 3 คน คือ เจ้าศิริกาวิล ณ เชียงใหม่ เจ้าพงษ์กาวิล ณ เชียงใหม่ และเจ้ากอแก้ว ประกายกาวิล ณ เชียงใหม่ ฝ่ายเจ้าเรณุวรรณมิได้ไปศึกษาต่อยังต่างประเทศ เมื่อเติบใหญ่พระราชชายา เจ้าดารารัศมี ได้ทรงจัดการให้เสกสมรสกับเจ้าบุรีรัตน์ หรือเจ้าแก้วมุงเมือง ณ เชียงใหม่ ซึ่งรับราชการเป็นปลัดจังหวัดเชียงใหม่

สำหรับคุณข้าหลวงของพระราชชายา เจ้าดารารัศมี ที่มีชีวิตน่าสนใจมากคนหนึ่ง คือ เจ้าทิพวัน ณ เชียงใหม่ ซึ่งเป็นพระประยูรญาติผู้ใกล้ชิดของพระราชชายา เจ้าดารารัศมี เพราะเจ้าทิพวันเป็นธิดาของเจ้าเทพดำรงรักษา ผู้มีหน้าที่ดูแลรักษาเมืองชายแดนแถบลุ่มน้ำสาละวิน ในสมัยที่เจ้าอินทวิไชยยานนท์เป็นเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ และมารดาก็เป็นพระญาติของเจ้าแม่เทพไกรสร พระมารดาของพระราชชายา เจ้าดารารัศมี

ขณะที่เจ้าทิพวัน ณ เชียงใหม่ ทำหน้าที่ข้าหลวงผู้ใกล้ชิดพระราชชายา เจ้าดารารัศมี ก็มีโอกาสได้พบรักกับพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรเดช หลังจากเสกสมรสแล้วได้ประทับร่วมกันอยู่ในกรุงเทพฯ ระยะหนึ่ง พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรเดช ก็ได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตไทยประจำประเทศฝรั่งเศสและอังกฤษ เจ้าทิพวันพระชายานอกจากจะได้ทำหน้าที่ส่งเสริมช่วยเหลือให้กำลังใจพระสวามี ในการทำหน้าที่เป็นตัวแทนประเทศสยามอย่างดีเยี่ยมแล้ว ยังปรนนิบัติดูแลเอาใจใส่จัดการช่วยเหลือแก่บรรดาพระเจ้าลูกยาเธอทุกพระองค์ที่ไปทรงศึกษายังต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งเมื่อเสด็จขึ้นครองราชย์แล้วก็ยังทรงรำลึกถึงความหลังเมื่อครั้งที่เจ้าทิพวันเอาใจใส่ดูแลในต่างประเทศ จึงได้มีพระมหากรุณาธิคุณต่อเจ้าทิพวันเป็นอย่างสูง แม้ภายหลังเจ้าทิพวันได้หย่าขาดจากพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรเดชไปแล้วก็ตาม

พระราชชายา เจ้าดารารัศมี ได้ทรงประกอบพระราชกรณียกิจที่ทรงคุณอเนกอนันต์ และดำรงพระองค์เป็นที่สักการะเทิดทูนในหมู่พสกนิกรชาวล้านนา ในบั้นปลายพระชนม์ชีพได้ทรงประทับอยู่ใน พระตำหนักดาราภิรมย์ ณ สวนเจ้าสบาย อ.แม่ริม พระตำหนักที่ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวสร้างถวาย แวดล้อมด้วยพระประยูรญาติและข้าราชบริพารในพระองค์อย่างมีความสุขเป็นเวลานานถึง 20 ปี

ทรงส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะเรื่องดนตรีพื้นเมือง และศิลปะการแสดงพื้นเมืองนั้น ด้วยทรงมีพระนิสัยโปรดเล่นดนตรีไทย ตั้งแต่ครั้งประทับอยู่ในพระบรมมหาราชวัง ซึ่ง วงดนตรีไทยประจำพระตำหนักของพระราชชายานั้นมีกิตติศัพท์เลื่องลือไปทั่วฝ่ายใน เมื่อเสด็จมาประทับนครเชียงใหม่ ทรงโปรดให้รื้อฟื้นศิลปะการฟ้อนรำ การดนตรีพื้นเมืองทั้งหมด ทรงโปรดให้รวบรวมศิลปินล้านนาเก่าแก่มาเป็นบรมครูผู้ประสาทวิชาเพื่อสนับสนุนให้ความรู้แก่พระญาติและประชาชน รวมทั้งทรงโปรดให้จัดการฝึกสอนขึ้นในพระตำหนัก พระญาติของพระองค์ต่อมาได้มีบทบาทในการสานต่อพระราชปณิธานดังกล่าว อาทิ เจ้าเครือแก้ว ณ เชียงใหม่ ซึ่งต่อมาเป็น ศิลปินแห่งชาติ และ เจ้าสุนทร ณ เชียงใหม่ ผู้สืบทอดการผลิตเครื่องดนตรีและการเล่นดนตรีพื้นเมือง และทรงรับเป็นองค์อุปถัมภ์โรงเรียนวัฒโนทัยพายัพ โปรดให้ครูช่างฟ้อนในเมืองทุกแบบ และฟ้อนม่านมุ้ยเชียงตาในวังมาสอนนักเรียนด้วย เพื่อเป็นการสืบทอดมรดกทางนาฏศิลป์

ทรงฟื้นฟูและส่งเสริมกิจการทอผ้าซึ่งเคยมีชื่อเสียงมาช้านานในล้านนา ได้ทรงรวบรวมผู้ชำนาญการทอผ้ายก ผ้าซิ่นตีนจก และฝึกสอนช่างทอ โดยสร้างโรงทอผ้าที่หลังพระตำหนักของพระองค์ มีกี่ทอผ้าประมาณ 20 หลัง ภายหลังพระญาติจากนครลำพูนได้มาศึกษาการทอผ้าซิ่นยกดอก และนำไปฝึกหัดคนในคุ้มหลวงที่ลำพูนจนมีความชำนาญ และได้สืบทอดต่อกันมาจวบจนปัจจุบัน กิจการด้านการทอผ้าได้แพร่หลายไปสู่หมู่ประชาชนจนกลายเป็นผลิตภัณฑ์สำคัญของเชียงใหม่และลำพูนมาตราบจนปัจจุบัน

ม.จ.หญิงพูนพิศมัย ดิศกุล พระธิดาใน สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้ทรงกล่าวถึง พระราชชายาฯ ซึ่งทรงออกพระนามว่า “เจ้าป้า” ตอนหนึ่งว่า “ข้าพเจ้ารู้สึกทึ่งและประทับใจยิ่งนัก เวลาเห็นพระองค์ท่านประทับอยู่ในที่ว่าราชการท่ามกลางข้าราชการฝ่ายเหนือและฝ่ายใต้ จากที่เคยเห็นท่านดำรงพระองค์เรียบง่ายสงบคำเวลาประทับอยู่ในวังหลวง แต่ในที่นั้น พระองค์ท่านมีรับสั่งว่าราชการอย่างฉะฉาน เวลาตรัสกับข้าราชการฝ่ายเหนือก็ตรัสเป็นภาษาเหนือ เวลาตรัสกับข้าราชการฝ่ายใต้ก็ตรัสเป็นภาษาใต้ รับสั่งกลับไปกลับมาอย่างคล่องแคล่วยิ่งนัก เห็นได้ชัดว่าพระองค์ทรงเป็นที่เคารพเทิดทูนของข้าราชการทุกหมู่เหล่าอย่างยิ่ง” นอกจากนั้น ยังทรงกล่าวตอนหนึ่งว่า “ฉันเคยพูดกับพวกฝรั่ง เขาว่านะ ว่าเจ้าเชียงใหม่ไม่เห็นจะทรงฉลาดสักเท่าไร เห็นจะมีแต่ พริ้นเซสออฟเชียงใหม่ ซึ่งหมายถึง พระราชชายาฯ นี่นะสิ ทรงฉลาดเหลือเกิน”

พระราชชายา เจ้าดารารัศมี ทรงเริ่มประชวรเมื่อวันที่ 30 มิ.ย. 2476 ด้วยทรงมีพระอาการประชวรด้วยพระโรคพระปัปผาสะพิการ (ปอดพิการ) นายแพทย์ทั้งในประเทศและต่างประเทศได้พยายามถวายการรักษาอย่างเต็มที่ แต่พระอาการก็ยังคงมีแต่ทรงกับทรุด พล.ต.เจ้าแก้วนวรัฐ ซึ่งเป็นพระเชษฐาต่างพระมารดา (เจ้าแก้วนวรัฐนั้นประสูติแต่หม่อมเขียว ในพระเจ้าอินทวิไชยยานนท์) จึงเชิญเสด็จมาประทับ ณ คุ้มรินแก้ว ในตัวเมืองเชียงใหม่ เพื่อให้สะดวกในการที่พระประยูรญาติจะได้ผลัดเปลี่ยนกันเข้าเฝ้าเยี่ยมพระอาการ และเป็นการง่ายที่แพทย์จะถวายการรักษา

ความทราบถึงพระกรรณ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวยังกรุงเทพฯ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ พล.อ.พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน อัญเชิญด้ายสายสิญจน์มาผูกพระกรพระราชชายาฯ กับได้พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ช่วยในการรักษาพระอาการ และโปรดเกล้าฯ ให้แพทย์ถวายรายงานพระอาการให้ทรงทราบเป็นประจำวัน ขณะเดียวกัน พระยาพหลพลพยุหเสนา นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้ นายแพทย์กรมรถไฟขึ้นมาประจำกับแพทย์ทางเชียงใหม่ถวายการดูแลพระอาการอย่างใกล้ชิด นอกจากนั้น พล.ต.เจ้าแก้วนวรัฐ พระประยูรญาติ และข้าราชบริพาร ยังได้จัดซื้อเครื่องเอกซเรย์ชนิดย้ายที่ได้จากอินโดนีเซียส่งมาทางเครื่องบิน เพื่อฉายดูพระปัปผาสะ เป็นการช่วยแพทย์แผนปัจจุบัน แต่พระอาการก็มิได้ทุเลาลงแต่อย่างใด

พระราชชายา เจ้าดารารัศมี สิ้นพระชนม์ เมื่อวันที่ 9 ธ.ค. 2476 เมื่อเวลา 15.14 น. ณ คุ้มรินแก้ว สิริพระชนมายุ 60 ปี 3 เดือน 13 วัน

ก่อนสิ้นพระชนม์ พระราชายา เจ้าดารารัศมี ได้รับสั่งกับ พล.ต.เจ้าแก้วนวรัฐ เจ้าครองนครเชียงใหม่พระเชษฐาพร้อมด้วยพระประยูรญาติว่า ให้โปรดนำสิ่งของต่างๆ ที่บรรจุอยู่ในหีบกาไหล่ทองที่ได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ไปบรรจุในกู่ร่วมกับพระอัฐิของพระองค์ท่านด้วย สิ่งของต่างๆ เหล่านั้นประกอบด้วยจดหมายอันทรงคุณค่าระหว่างพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระราชชายา เจ้าดารารัศมี ที่รวบรวมไว้อย่างเรียบร้อยห่อด้วยผ้าเช็ดหน้าที่พรมด้วยน้ำหอม อัฐิที่เขียนไว้ว่าเป็นอัฐิตรงส่วนนิ้วพระหัตถ์ก้อยของพระเจ้าลูกเธอ พระองค์เจ้าหญิงวิมลนาคนพีสี พระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประสูติแต่พระราชชายา เจ้าดารารัศมี และสิ่งของชิ้นสุดท้ายคือ จดหมายที่เป็นลายมือพ่อเจ้าชีวิตอินทวิไชยยานนท์ ซึ่งเขียนตัวอักษรเป็นภาษาพื้นเมืองเชียงใหม่ ส่งไปถึงพระราชชายาเจ้าดารารัศมี พระธิดา เมื่อคราวที่ทรงสูญเสียพระธิดา พระองค์เจ้าหญิงวิมลนาคนพีสี

พล.ต.เจ้าแก้วนวรัฐ เจ้าหลวงแห่งนครเชียงใหม่ได้นำสิ่งของทั้งหมดนี้ไปบรรจุในกู่พระอัฐิพระราชชายา เจ้าดารารัศมี ที่วัดสวนดอก ตามเจตนารมณ์ของพระราชชายา เจ้าดารารัศมี ทุกประการ ส่วนในการพระศพของพระราชชายา เจ้าดารารัศมีนั้น พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงรับไว้ในพระบรมราชานุเคราะห์ พระราชทานน้ำสุคนธ์สรงพระศพ พระราชทานโกศกุดั่นใหญ่ ทรงพระศพพร้อมด้วยเครื่องสูงประดับพระเกียรติยศ ประดิษฐานพระศพ ณ วังท่าเจดีย์กิ่ว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ไว้ทุกข์ 7 วัน และทรงบำเพ็ญพระราชกุศล 7 วัน 50 วัน และ 100 วัน

พระราชทานมาเป็นลำดับ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ช่างหลวงไปปลูกพระเมรุสำหรับพระราชทานเพลิงพระศพ ณ วัดสวนดอก เชียงใหม่ แล้วทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ พล.อ. พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน เสด็จแทนพระองค์ ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลออกพระเมรุที่วังท่าเจดีย์กิ่ว ในวันที่ 21 เม.ย. 2477 แล้วทรงเป็นประธานในงานพระราชทานเพลิงศพและการเก็บอัฐิ ณ วัดสวนดอกด้วย

Thailand Web Stat