โอกาสของไทยที่จะค้นพบแหล่ง Shale Gas ขนาดใหญ่มากแค่ไหน

05 สิงหาคม 2556

ในระยะสองปีที่ผ่านมา ได้มีบทความที่เขียนถึงความสำเร็จของประเทศสหรัฐอเมริกาในการพัฒนาแหล่งพลังงานในประเทศอย่างมากมาย และมีการทำนายว่าต่อไปสหรัฐจะกลายเป็นมหาอำนาจทางด้านพลังงาน โดยจะเปลี่ยนจากประเทศผู้นำเข้าพลังงานรายใหญ่ของโลก มาเป็นประเทศผู้ส่งออกพลังงานรายใหญ่แทน

ในระยะสองปีที่ผ่านมา ได้มีบทความที่เขียนถึงความสำเร็จของประเทศสหรัฐอเมริกาในการพัฒนาแหล่งพลังงานในประเทศอย่างมากมาย และมีการทำนายว่าต่อไปสหรัฐจะกลายเป็นมหาอำนาจทางด้านพลังงาน โดยจะเปลี่ยนจากประเทศผู้นำเข้าพลังงานรายใหญ่ของโลก มาเป็นประเทศผู้ส่งออกพลังงานรายใหญ่แทน

ความสำเร็จของสหรัฐมาจากการค้นพบเทคโนโลยีใหม่ในการขุดเจาะน้ำมันและก๊าซที่เรียกกันว่า Horizontal Drilling และ Hydraulic Fracturing หรือ “Fracking” ที่ทำให้สหรัฐสามารถผลิตน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติในชั้นหินดินดานที่เรียกว่า Shale Oil และ Shale Gas เพิ่มขึ้นได้อย่างมากมาย จนเพียงพอต่อการใช้ในประเทศ และเหลือใช้จนต้องส่งออกในอนาคต

จากกรณีตัวอย่างของสหรัฐ ทำให้มีผู้ถามผมว่าแล้วประเทศไทยล่ะ เราจะมีโอกาสได้พบแหล่งพลังงานประเภท Shale Oil และ Shale Gas แบบในสหรัฐบ้างหรือไม่

ประกอบกับมีผู้รู้บางท่านออกมาให้ข้อมูลกับประชาชนผ่านสื่อ โดยอ้างอิงข้อมูลจากหน่วยงานสารสนเทศด้านพลังงานของกระทรวงพลังงานของสหรัฐ (EIA) ว่า ประเทศไทยโดยเฉพาะในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีแหล่งก๊าซธรรมชาติปริมาณมากสูงถึง 510 ล้านล้าน ลบ.ฟุต คิดเป็นหนึ่งในสามของปริมาณก๊าซในอ่าวไทย และมีโครงสร้างที่ใหญ่มาก คาดว่าใหญ่กว่าซาอุดีอาระเบียเสียอีก ผมจึงอยากนำความเป็นมาของเรื่องนี้มาเล่าสู่กันฟังครับ

ที่มาของเรื่องมีอยู่ว่า เมื่อวันที่ 10 มิ.ย.ที่ผ่านมา EIA ได้ออกรายงานเกี่ยวกับการประเมินถึงแหล่งทรัพยากรทางน้ำมันและก๊าซธรรมชาติในชั้นหินดินดานที่อาจจะค้นพบได้ทางเทคนิค (Technically Recoverable Shale Oil and Shale Gas Resources) ในประเทศต่างๆ 41 ประเทศ นอกจากสหรัฐอเมริกา

ในส่วนของประเทศไทยนั้น EIA ได้รายงานเอาไว้ว่า เนื่องจากยังไม่เคยมีรายงานการสำรวจเกี่ยวกับ Shale Oil/Shale Gas มาก่อน แต่ดูจากรายงานการศึกษาทางธรณีวิทยาและชั้นหิน และนำไปศึกษาเปรียบเทียบกับแหล่งที่มีลักษณะแบบเดียวกันในสหรัฐแล้ว คาดว่าประเทศไทยมีโอกาสมาก (Significant Prospective) ที่จะมีแหล่ง Shale Gas และมีศักยภาพ (Potential) ที่จะพบ Shale Oil โดยโอกาสที่จะพบ Shale Gas จะมีมากกว่า Shale Oil

โดย Shale Gas นั้นมีโอกาสที่จะพบในแหล่งที่เรียกว่า Khorat Basin ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่ง EIA ประเมินว่าจะมีปริมาณก๊าซตั้งต้น หรือที่เรียกกันในศัพท์ทางวิชาการสำรวจและขุดเจาะปิโตรเลียมว่า “Risked Shale Gas InPlace” ประมาณ 22 ล้านล้าน ลบ.ฟุต แต่คาดว่าจะมีปริมาณก๊าซที่ค้นพบได้ทางเทคนิค (Risked Technically Recoverable Shale Gas Resources) เพียง 5 ล้านล้าน ลบ.ฟุต เท่านั้น

ถึงตรงนี้ต้องบอกว่าปริมาณ Shale Oil/Shale Gas ที่พูดๆ กันในรายงานของ EIA ฉบับนี้นั้น ไม่ใช่ปริมาณสำรองที่พิสูจน์แล้ว (Proved Reserve) นะครับ เพราะยังไม่มีการขุดเจาะและสำรวจกันแต่อย่างใด จึงเป็นแค่การคาดการณ์ว่าน่าจะมี ซึ่งต้องทำการสำรวจยืนยันกันอีกครั้งว่ามีจริงหรือไม่ และถ้ามีจริง จะมีมากอย่างที่คาดการณ์กันหรือเปล่า

เรื่องปริมาณสำรองปิโตรเลียมที่พูดกันอยู่ในบ้านเรา ทำให้คนไทยสับสนกันมากนะครับ เพราะเอาคำว่า Recoverable Resources ซึ่งหมายความถึงทรัพยากรที่คาดว่าจะค้นพบได้ มาปนกับคำว่า Petroleum Reserve ซึ่งหมายถึงปริมาณสำรองปิโตรเลียมที่มีการสำรวจและค้นพบแล้ว แล้วเอาไปพูดทำให้คนเข้าใจผิดไขว้เขวกันไปหมด

ในทางวิชาการปริมาณสำรองปิโตรเลียมที่มีการสำรวจและค้นพบแล้วยังแบ่งออกได้เป็นสามประเภท คือ

1.Proved Reserve (P1) คือ ปริมาณสำรองที่สำรวจแล้วมีความมั่นใจ 90% ว่ามีแน่นอนตามที่ได้ประเมินเอาไว้ ซึ่งตัวเลขนี้เมื่อประกาศออกมาอย่างเป็นทางการ จะได้รับการยอมรับจากทุกฝ่าย รวมทั้งสำนักงานการบัญชี ผู้ตรวจสอบ และสถาบันทางการเงิน ยอมให้ประเมินเป็นส่วนหนึ่งของทรัพย์สิน (Asset) ของบริษัท

2.Probable Reserve (P2) คือ ปริมาณสำรองที่ผู้สำรวจมีความมั่นใจ 50% ว่ามีแน่ตามที่ประเมินเอาไว้ ซึ่งเอาไปใช้ประเมินเป็นทรัพย์สินไม่ได้ แต่ยังสามารถเอาไปใช้เป็นหลักทรัพย์ในการค้ำประกันเงินกู้ได้

3.Possible Reserve (P3) คือ ปริมาณสำรองที่ผู้สำรวจมีความมั่นใจเพียง 10% ว่ามีแน่ และไม่สามารถนำไปใช้เป็นหลักประกันใดๆ ทางการเงินได้ แต่ก็ถือว่ามีการสำรวจแล้ว มีความมั่นใจในระดับหนึ่งว่าได้ค้นพบแหล่งปิโตรเลียมแล้ว

จะเห็นได้ว่าแม้แต่ปริมาณสำรองปิโตรเลียมที่สำรวจและค้นพบแล้ว ยังมีการแบ่งแยกออกเป็นประเภทต่างๆ ตามความไม่แน่นอนในผลของการสำรวจ ซึ่งนี่ก็คือความเสี่ยงในการทำธุรกิจสำรวจและขุดเจาะปิโตรเลียม ซึ่งเป็นธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูงนั่นเอง

ดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ถ้าในชั้นของการสำรวจทางธรณีวิทยาและสภาพทางกายภาพของชั้นหิน จะบ่งบอกว่าที่ใดมีความเป็นไปได้หรือมีศักยภาพที่จะเป็นแหล่งกักเก็บปิโตรเลียมจำนวนมาก แต่พอไปทำการสำรวจจริงๆ กลับไม่พบ หรือพบในจำนวนไม่มากอย่างที่คาด ดังนั้นในกรณีรายงานของ EIA ที่ว่านี้ เราจึงยังไม่ควรตื่นเต้นกันมากจนเกินไปนัก จนกว่าจะมีการเปิดให้สัมปทานสำรวจและขุดเจาะกันอย่างจริงจัง

ข้อสำคัญ ผมไม่อยากให้มีการใช้ประโยชน์จากการให้ข่าวที่ทำให้ประชาชนเข้าใจผิดว่า เราเป็นประเทศที่ร่ำรวยพลังงาน มีแหล่งก๊าซธรรมชาติขนาดใหญ่มาก สำรองเยอะ ทั้งที่ยังไม่ได้ลงมือสำรวจด้วยซ้ำไป จึงอยากให้รับฟังข้อมูลอย่างระมัดระวังและรู้จริงครับ

สำหรับผู้ที่รับข้อมูลมา ถ้ามีโอกาสคงต้องฝากให้ช่วยถามผู้ให้ข้อมูลแทนด้วยว่า ที่บอกว่ามีปริมาณสำรองเยอะมากกว่าซาอุดีอาระเบียนั้น ท่านหมายถึง P1 P2 P3 หรือหมายถึงอะไร!!!

Thailand Web Stat