สนับสนุนผ้าไหมไทยช่วยเหลือชาวบ้าน
“ผ้าไหมไทย” มีชื่อเสียงขจรขจายไปเกือบทั่วโลก แต่รูปแบบการทอทั้งการดีไซน์ยังไม่ดึงดูดใจ เพราะขาดการต่อยอด สานต่อ และการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
โดย...วราภรณ์
“ผ้าไหมไทย” มีชื่อเสียงขจรขจายไปเกือบทั่วโลก แต่รูปแบบการทอทั้งการดีไซน์ยังไม่ดึงดูดใจ เพราะขาดการต่อยอด สานต่อ และการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เมื่อมองเห็นถึงปัญหาเซ็นทรัลกรุ๊ปที่มองเห็นความสำคัญของไหมไทย มรดกทางวัฒนธรรม จึงจัดโครงการ “พัฒนาชุมชนด้านผลิตภัณฑ์ไหมไทยพื้นบ้าน” สืบเนื่องเป็นปีที่ 2 เพื่ออนุรักษ์และสืบสานไหมไทยภูมิปัญญาที่ควรส่งต่อสืบไปสู่รุ่นลูกหลาน
เมื่อเร็วๆ นี้เซ็นทรัลกรุ๊ปร่วมกับกรมหม่อมไหม และผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น โดยมี ปิยพรรณ จิราธิวัฒน์ ผู้อำนวยการอาวุโสเซ็นทรัลมาร์เก็ตติ้ง กรุ๊ป เป็นแม่งานใหญ่ กล่าวถึง โครงการที่ร่วมกลุ่มกันทั้งภาครัฐและภาคเอกชนลงไปเห็นปัญหาและช่วยเหลือชาวบ้านให้มีงานทำในชุมชน ลูกหลานที่ศึกษาจบแล้วจะได้มีงานทำในหมู่บ้านไม่ต้องย้ายถิ่นฐานไปไหน
“หลังจากได้รับความช่วยเหลือจากกรมหม่อนไหมในการเลือก 2 ชุมชน คือ หมู่บ้านหัวฝาย ต.ปอแดง อ.ชนบท และหมู่บ้านหนองหญ้าปล้อง ต.โพนเพ็ก อ.มัญจาคีรี จ.ขอนแก่น เราจึงเริ่มโครงการตั้งแต่เดือน ม.ค. 2555 ศึกษาปัญหาและสำรวจความต้องการของชุมชน เพื่อที่จะนำไปสู่การพัฒนาคุณภาพชีวิตทางสังคมและเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน เราได้วางแผนงานโครงการเป็น 3 ช่วง เริ่มจากการให้ความรู้กับชาวบ้านในเรื่องต่างๆ และเตรียมความพร้อมด้านสถานที่ สร้างที่เก็บน้ำและวางระบบการส่งน้ำ เพื่อใช้ในแปลงหม่อนกว่า 80 หลัง สร้างโรงเลี้ยงไหมภายในครัวเรือนแบบประหยัด สร้างโรงย้อมไหม โรงเก็บวัตถุดิบ จัดทำศูนย์เรียนรู้อย่างครบวงจร ช่วงสุดท้ายคือการติดตามและการประเมินผล”
ในฐานะทำธุรกิจด้านสินค้าแฟชั่น ปิยพรรณ มองการพัฒนาผลิตภัณฑ์สองด้าน คือ ด้านเกษตรกรรมและผลิตภัณฑ์
“หลักการช่วยเหลือเวลาเราเริ่มเราไม่อยากเริ่มจากปลายน้ำ ซึ่งทั้งสองหมู่บ้านที่เราเลือก พัฒนาเรื่องผ้าไหมไปบ้างแล้ว ขาดแต่ศักยภาพที่เขาจะไปต่อ เซ็นทรัลก็เลยเข้ามาพัฒนา 1 ปีกว่า ดูว่าจากหมู่บ้านหัวฝาย ชาวบ้านอยากปลูกหม่อน แต่ไม่มีน้ำไปที่หมู่บ้านจะต้องรอเฉพาะฤดูฝน เพราะใบหม่อนจะต้องเอาไปเลี้ยงตัวไหม ถ้าไม่มีน้ำก็ปลูกหม่อนไม่ได้ การทอผ้าก็ชะงัก ปัญหาที่สองคือเมื่อมีหนอนแล้ว ไม่มีสถานที่เลี้ยงไหมปิดมิดชิด เพื่อไม่ให้แมลงวันเข้ามาไข่ ไม่อย่างนั้นหนอนจะตาย ในเบื้องต้นขาดทั้งน้ำและห้องเลี้ยงไหม เราจึงมาวางท่อน้ำให้ 80 หลังคาเรือน รวมถึงทำห้องให้เลี้ยงไหมอีก 42 ครัวเรือน ลำดับต่อมาเราทราบว่าสถานที่ขายของของสองหมู่บ้านไม่เอื้ออำนวย เวลานักท่องเที่ยวมา สถานที่อับ ไม่มีไฟและพัดลมเพียงพอ การจัดสต๊อกก็ไม่สวยงาม ไม่เป็นร้านขายของเท่าที่ควร เราจึงมาช่วยเหลือปรับปรุง”
นอกจากช่วยเหลือปรับปรุงร้านขายของของชาวบ้านแล้ว แต่ประชาชนทั่วไปไม่ได้อยากจะมาซื้อผ้าไหมอย่างเดียว แต่อยากเรียนรู้ เซ็นทรัลจึงสร้างศูนย์เรียนรู้เพื่อให้ครบกระบวนการ
“นักท่องเที่ยวสามารถเริ่มต้นที่ฐานเรียนรู้ก่อนว่า รูปร่างหน้าตาหนอน และใบหม่อนเลี้ยงไหมเป็นอย่างไร ต่อมาเป็นฐานการย้อมสี การมัดย้อม และการทอผ้า คือเรียกว่าให้ความรู้กับประชาชนที่เข้ามาท่องเที่ยวจะได้รู้กรรมวิธีกว่าจะผลิตเป็นผ้าไหมหรือสินค้าผ้าไหมชิ้นหนึ่งๆ ต้องผ่านกระบวนการอะไรบ้าง
สิ่งที่ชุมชนได้รับคือการสร้างงานสร้างรายได้ ช่วยสนับสนุน 2 ปีที่ผ่านมามอบเงินไปแล้ว 2 ล้านบาท ให้กับสองหมู่บ้านเพื่อพัฒนาชุมชน
“สมัยก่อนเวลาชาวบ้านทอผ้าได้ต้องรอให้ขายได้ก่อน ค่อยมีเงินทุนทอผ้าผืนต่อไป กว่าจะขายได้ชาวบ้านต้องรวมตัวกันไปงานของจังหวัดบ้าง กาชาด งานโอท็อปบ้าง ถ้าไม่ได้ขายก็ไม่มีเงินหมุน แต่เราทำสหกรณ์ขึ้นมาก็สามารถนำผ้ามาขายที่ร้านสหกรณ์นี้ได้เลย อีกทั้งเอาเงินที่มอบให้บวกเงินที่ขายผ้าได้ไปพัฒนาสินค้าได้ตลอดเวลา ผ้าไหมก็จะหลากหลาย ทอได้เยอะมีหลากสีมากขึ้น”
หากประชาชนทั่วไป อยากมีส่วนร่วมกับโครงการสามารถทำได้ เช่น นักออกแบบหน้าใหม่ เยาวชนรุ่นใหม่สามารถมาช่วยกันพัฒนาผลิตภัณฑ์ผ้าไหมให้น่าใช้ขึ้น ไม่ให้ดูน่าเบื่อ
“เรากำลังมีโครงการพัฒนาการท่องเที่ยว โดยดึงนักเรียน 10 และอาจารย์ 2 ท่านมาคลุกคลีกับชาวบ้านเป็นเวลา 70 วัน เพื่อให้ซึมซับวิถีชีวิตชาวบ้านว่า ผลิตผ้าไหมกันอย่างไรบ้าง สิ่งที่เขาจะต้องทำต่อไปคือ ออกแบบลายผ้า เมื่อออกแบบแล้วจะทิ้งลายให้ชาวบ้านทอผ้า ส่วนนักเรียนอีกคนช่วยออกแนวคิดในการออกแบบ และทำผลิตภัณฑ์ออกมาจำหน่ายต่อไป ชาวบ้านก็จะได้สินค้าใหม่ๆ ออกวางจำหน่ายและดูน่าสนใจมากขึ้น”
ส่วนประชาชนทั่วไปหากอยากมาร่วมโครงการก็สามารถทำได้ เมื่อชาวบ้านผลิตสินค้าออกมาแล้วก็สามารถสนับสนุนด้วยการหาซื้อไปใช้ เพื่อเป็นกำลังใจให้ชาวบ้านสามารถเลี้ยงตัวเองได้ ไม่ต้องรอการช่วยเหลือจากคนอื่น เพราะโครงการมีระยะเวลาช่วยเหลือแค่ 2 ปี หากชาวบ้านขาดเหลืออะไรให้บอก เช่น อยากส่งลูกบ้านไปเรียนตัดเย็บ ก็สามารถส่งไปเรียนที่นิรันดร์รัตน์เพื่อช่วยกันพัฒนาสินค้าต่อไป นับเป็นการช่วยเหลือกันของภาคเอกชนที่จะช่วยเหลือกันได้
“สิ่งที่เราคาดหวังจากโครงการนี้คือ อยากให้ชาวบ้านมีรายได้และคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เด็กๆ เรียนจบแล้วก็มีงานทำในหมู่บ้าน ได้อยู่กันเป็นครอบครัวที่อบอุ่นใช้ชีวิตแบบพอเพียง”