นารีพิฆาต ฤา พิฆาตนารี
เกือบทุกครั้งที่มีเรื่องอื้อฉาวคาวสวาทขึ้นระหว่าง “พระ” กับ “สตรีเพศ” ในประเด็นเกี่ยวกับเมถุนธรรม
เกือบทุกครั้งที่มีเรื่องอื้อฉาวคาวสวาทขึ้นระหว่าง “พระ” กับ “สตรีเพศ” ในประเด็นเกี่ยวกับเมถุนธรรม หรือการเสพเมถุน เรามักจะได้ยินคำว่า “นารีพิฆาต”
นารีพิฆาต คือ พระถูกผู้หญิงและหรือกลุ่มคนที่ไม่ชอบพระรูปนั้นๆ วางแผนทำอะไรสักอย่างหนึ่งด้วยวิธีการแยบยล หรือที่ใครๆ คาดไม่ถึง และไม่คิดว่าจะเป็นไปได้
โดยมีเป้าประสงค์ให้พระรูปนั้นๆ เกิดความเสียหาย เกิดความอับอายขายหน้า เสียชื่อเสียง วงศ์ตระกูล ผู้คนรุมประณาม หรือการขับไล่ไสส่งให้ออกพ้นพื้นที่
ในสมัยพระพุทธเจ้า มีการใช้แผน “นารีพิฆาต” คือ ใช้ผู้หญิงเป็นเครื่องมือในการทำลายล้างฝ่ายตรงข้ามเกิดขึ้นมาแล้ว
และดังที่สุดคงหนีไม่พ้นกรณีที่เกิดขึ้นกับพระพุทธเจ้า
ช่วงที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ วัดเชตวัน ได้มีประชาชนนับถือและลาภสักการะเกิดขึ้นมากมาย
สวนทางเหล่าเดียรถีย์เดิมก่อนที่พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นประชาชนเลื่อมใสและลาภสักการะไม่ขาดสาย กลับมีอันต้องเสื่อมลาภสักการะ อับรัศมี ประหนึ่งดังหิ่งห้อยด้อยแสง ไม่อาจแข่งกับแสงดวงตะวันอันแรงกล้าได้
เหล่าเดียรถีย์จึงประชุมคิดแผนการเพื่อจะหยุดความรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนาในเวลานั้น
และแผน “นารีพิฆาต” ก็ถูกนำมาใช้ในการทำลายล้างพระพุทธศาสนา โดยเป้าใหญ่อยู่ที่ “พระพุทธเจ้า” ถ้าทำลายพระพุทธเจ้าได้ ทุกอย่างก็จบ
แล้วนักบวชหญิงรูปงามสาวกของพวกเดียรถีย์คนหนึ่ง ชื่อว่า “สุนทรี” ก็ถูกดึงเข้ามาเป็นเครื่องมือในแผนการสกปรก เต็มด้วยเล่ห์เหลี่ยมในครั้งนั้น
“เธอต้องใช้รูปร่างอันงดงามของเธอทำให้สมณโคดมเสื่อมเสียเกียรติยศชื่อเสียงและชักนำให้มหาชนเชื่อถ้อยคำของเธอให้ได้”
แผนการเริ่มขึ้น สุนทรีที่ปกติจะเข้าออกสำนักของเดียรถีย์ตลอด แต่เพื่อไม่ให้ใครสงสัยจึงออกมาไปอยู่ในที่อื่นที่ตามที่ได้วางแผนไว้กับเดียรถีย์และจะไม่เข้าออกในช่วงที่แผนการไม่สำเร็จ
จากนั้นก็ทำใหคน “เข้าใจผิด” อาศัยช่วงเวลาเย็นที่ชาวบ้านพากันไปฟังธรรมที่วัดเชตวัน เธอก็จะถือดอกไม้ ของหอม บ่ายหน้าไปยังพระวิหารเชตวัน ทำทีเดินตรงไปยังพระคันธกุฎีที่ประทับของพระพุทธเจ้า
เมื่อมีคนถามว่าจะไปไหนก็บอกว่าจะไปหาพระพุทธเจ้า ขณะเดียวกันก็ทำทีเดินออกมาจากบริเวณพระคันธ กุฎีเมื่อใครถามก็ตอบว่าฉันไปนอนกับพระพุทธเจ้า
ทำอย่างนี้อยู่หลายวันจนบางคนที่หันมานับถือพระพุทธศาสนาก็ชักจะหวั่นไหว พวกเดียรถีย์จึงซ้อนแผนจ้างนักเลงไปฆ่าสุนทรีและให้นำศพไปทิ้งข้างวัดหวังใส่ร้ายพระพุทธเจ้า
ต่อมาเดียรถีย์ประโคมข่าวว่าสุนทรหายตัวไป แล้วไปกราบทูลพระราชาว่าช่วงหลังๆ มีคนเห็นนางเข้าออกวัดเชตวันบ่อยๆ พร้อมขอพระราชานุญาตให้ค้นหาตัวนางแถวๆ วัด
พวกเดียรถีย์พร้อมศิษย์พากันหาตัวนางแล้วพบศพอย่างง่ายดาย จากนั้นหามศพเข้าเมืองโดยมีการพาดพิงพระในวัดเชตวันว่าอาจมีส่วนในการตายของสุนทรี
การครั้งนั้นมีประชาชนบางส่วนคล้อยตามเดียรถีย์
พระราชาจึงให้สอบสวนเรื่องนี้พร้อมส่งทีมสืบสวนหาข่าว แล้วทีมทส่งไปได้ไปเจอนักเลงทีมฆ่ากำลังร่ำสุราจนเมามายเกิดการทะเลาะกันจนความแตก
เมื่อความจริงถูกเปิดพระราชาจึงรับสั่งให้นำพวกเดียรถีย์ตระเวนทั่วเมืองประกาศให้ประชาชนทราบความจริงว่าพระในวัดเชตวันไม่ได้ฆ่าสุนทรีแต่เป็นพวกเขาที่วางแผนฆ่าเพื่อใส่ร้ายพระพุทธเจ้า
แผนใส่ร้ายพระพุทธเจ้าโดยใช้ผู้หญิงเป็นเครื่องมือ มิใช่่ครั้งเดียว
ยังมีอีกครั้งหนึ่งที่มีการตั้งคณะกรรมการหาความจริงซึ่งประกอบไปด้วยฝ่ายพระสงฆ์และฝ่ายบ้านเมือง
จิญจมาณวิกา คือ หญิงที่เป็นสาวกของเดียรถีย์อีกคน ที่บอกว่าเธอท้องกับพระพุทธเจ้า
มีการทำตัวให้เหมือนหญิงอุ้มท้องจริง แต่ที่สุดความจริงก็ปรากฏเมื่อทั้งหมดเป็นเรื่องโกหกที่เธอสร้างขึ้นร่วมกับเดียรถีย์
ทั้งนี้ อธิกรณ์ที่เกิดขึ้นกับพระพุทธเจ้านั้นชาวพุทธสามารถพูดได้อย่างเต็มปากว่า “เป็นแผนนารีพิฆาต”
มีเป้าหมายเพื่อใส่ร้ายพระพุทธเจ้า และทำลายล้างพระพุทธศาสนา
แต่เมื่อหันมองสถานการณ์ปัจจุบัน ข่าวฉาวของพระไทยที่มีสัมพันธ์กับสตรีตามที่ปรากฏเป็นข่าวตามสื่อต่างๆ
หรือในคลิปทางโซเชียลทั้งหลาย แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่เป็นแผน “นารีพิฆาต”
ดูแล้ว “พิฆาตนารี” มากกว่า เพราะสมจริง สมจัง กระเหี้ยนกระหือรือ และปราศจากความละอายต่อบาป ต่อผ้าเหลืองและศีรษะโล้นๆ
แม้จะบวชสามสิบสี่สิบพรรษาตัณหาก็ไม่มีเบาบางลงเลย