posttoday

ม็อบนกหวีดยังสันติชี้ปฏิวัติการไร้ความรุนแรง

29 พฤศจิกายน 2556

ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านสันติวิธี ได้เขียนจดหมายถึง สุเทพ เทือกสุบรรณ แกนนำม็อบต้านระบอบทักษิณ ให้ดูแลการเคลื่อนไหวภายใต้กรอบสันติวิธี และยอมรับว่าการเป่านกหวีดเป็นการใช้สันติวิธีเชิงสัญลักษณ์ รวมถึงการเรียกร้องให้ชะลอการเสียภาษีเป็นสันติวิธีแบบไม่ให้ความร่วมมือกับรัฐ ขณะที่การเข้ายึดครองอาคารสถานที่ราชการเป็นการแทรกแซงด้วยสันติวิธี

ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านสันติวิธี ได้เขียนจดหมายถึง สุเทพ เทือกสุบรรณ แกนนำม็อบต้านระบอบทักษิณ ให้ดูแลการเคลื่อนไหวภายใต้กรอบสันติวิธี และยอมรับว่าการเป่านกหวีดเป็นการใช้สันติวิธีเชิงสัญลักษณ์ รวมถึงการเรียกร้องให้ชะลอการเสียภาษีเป็นสันติวิธีแบบไม่ให้ความร่วมมือกับรัฐ ขณะที่การเข้ายึดครองอาคารสถานที่ราชการเป็นการแทรกแซงด้วยสันติวิธี

“การเข้ายึดครองอาคารสถานที่เช่นนี้มีให้เห็นตั้งแต่ 2,000 ปีก่อน เมื่อบิชอปชาวคริสต์ปฏิเสธคำสั่งของรัฐบาลโรมัน ที่สั่งให้ยกส่วนหนึ่งของโบสถ์ในมิลานให้ชาวคริสต์นิกายอื่น ท่านบิชอปละเมิดกฎยึดครองโบสถ์ทำพิธีมิสซาในโบสถ์อยู่ 5 วัน กรณีนี้เกิดเมื่อปี ค.ศ. 385 หรือชาวอเมริกันอินเดียนนับร้อยคนบุกยึดเกาะอัลกาตราสในอ่าวซานฟรานซิสโก ซึ่งรัฐบาลอเมริกันใช้เป็นคุกมานาน เหตุเกิดเมื่อเดือน พ.ย. 1969 โดยยึดเกาะนี้อยู่ถึง 2 ปี หรือที่รู้จักกันทั่วโลกก็คือ การใช้สันติวิธีเข้ายึดครองพื้นที่ทางเศรษฐกิจ การเงินกลางเมืองใหญ่ของโลกอย่างนิวยอร์ก ลอนดอน และเมลเบิร์น เมื่อปี ค.ศ. 2011 สันติวิธีเหล่านี้ล้วนเป็นการกระทำที่ละเมิดกฎหมายในระดับต่างๆ กัน” ชัยวัฒน์ อธิบาย

ข้อสอง คนใช้สันติวิธีต้องทำความเข้าใจการทำงานของเครื่องมือที่ตนใช้ว่าทำงานอย่างไร เช่น เมื่อสุเทพประกาศการต่อสู้ที่ใช้เป็นอารยะขัดขืน ก็หมายความว่าผู้ใช้ต้องพร้อมรับโทษทัณฑ์ที่จะต้องได้รับจากการใช้สันติวิธีละเมิดกฎหมาย เพราะพลังของอารยะขัดขืนไม่ได้อยู่ตรงการขัดขืนเท่านั้น แต่อยู่ที่การยอมรับบทลงโทษที่จะเกิดขึ้น เพื่อให้คนในสังคมที่ฉุกคิดว่า กฎหมายหรือนโยบายที่พวกเขาขัดขืนเป็นสิ่งไม่ชอบ เพื่อผลักดันให้นักการเมืองต้องแก้กฎหมายหรือยกเลิกนโยบายนั้น เช่น การต่อสู้เพื่อสิทธิของคนผิวดำในสหรัฐ โดยสาธุคุณมาร์ติน ลูเธอร์ คิง เมื่อกลางศตวรรษที่แล้ว

ข้อสาม อารยะขัดขืนไม่ใช่สันติวิธีที่มีไว้เพื่อล้มรัฐบาล หรือเปลี่ยนระบอบการเมือง เพราะการยอมรับการลงโทษ คือ การยืนยันความชอบธรรมของผู้ลงโทษ คือ รัฐรัฐบาล ในแง่นี้อารยะขัดขืนทำงานเสริมระบอบประชาธิปไตยที่มีตัวแทนให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น เพราะเมื่อผู้ใช้อารยะขัดขืนเดินเข้าสู่ที่คุมขัง พร้อมๆ กับที่มโนธรรมสำนึกในสังคมถูกปลุกให้ตื่นขึ้น ก็จะช่วยชี้ให้ผู้ออกกฎหมายในสภาได้ประจักษ์ว่า กฎหมายบางข้อของรัฐผิดพลาดไม่เป็นธรรม ดังนั้นต้องแก้ไขหรือยกเลิกเสีย

สี่ สันติวิธีมีวิธีการต่างๆ เป็นร้อยวิธี ถ้าวิธีการที่สุเทพใช้ไม่ใช่อารยะขัดขืน แต่เป็นสันติวิธีหรือปฏิบัติการไร้ความรุนแรงรูปแบบอื่น ก็อาจทำได้และใช้สู้กับรัฐบาลก็ได้ อีกทั้งยังทำให้รัฐบาลล้มก็ได้ด้วย เช่นที่เกิดขึ้นกับประเทศต่างๆ ในละตินอเมริกา แต่รัฐบาลที่ล้มลงด้วยพลังสันติวิธีของประชาชน ส่วนใหญ่เป็นรัฐบาลเผด็จการทหาร หรือไม่ก็เป็นรัฐบาลพลเรือนที่มีทหารหนุนหลัง อันที่จริงมีผลการวิจัยพบว่า สันติวิธีใช้ได้ผลต่อรัฐบาลเผด็จการยิ่งกว่าจะนำมาใช้ต่อสู้กับรัฐบาลในระบอบประชาธิปไตย ซึ่งมีฐานความชอบธรรมมาจากการเลือกตั้ง

ข้อห้า มีคนถามผมว่า การต่อสู้แบบนี้เมื่อใดจึงจะหยุดเป็นสันติวิธี ตรงนี้คงตอบได้ 2 ทาง

ทางแรก คนที่สมาทานสันติวิธีจำนวนมากเชื่อว่า ไม่สามารถใช้สันติวิธีไปเพื่อเป้าหมายที่ไม่เป็นธรรมชนิดที่ไม่สร้างเสริมอิสรเสรีในสังคมการเมืองได้ พูดง่ายๆ คือ การอดอาหารประท้วงเป็นสันติวิธี เมื่อคนอดใช้ประท้วงผู้เผด็จการหรือจักรวรรดินิยมให้ปลดปล่อยผู้คนของตนให้เป็นอิสระ แต่ถ้าผู้เผด็จการใช้วิธีอดอาหารประท้วงเพื่อเรียกร้องให้ตนอยู่ในตำแหน่งมีอำนาจต่อไป อย่างนี้ไม่ใช่สันติวิธี

ทางที่สอง ไม่ว่าเป้าหมายในการต่อสู้จะเป็นเช่นไร เพื่อสร้างประชาธิปไตย หรือเพื่อรักษาสถาบันการเมืองสำคัญในชาติ แต่วิธีการที่เรียกว่า “สันติวิธี” จะหมดความหมายเมื่อผู้นำการต่อสู้หรือผู้ใช้ไม่เห็นว่า ทุกชีวิตที่เสียสละเข้าท้าทายอำนาจรัฐล้วนแล้วแต่มีคุณค่าในตัวเองทั้งนั้น พวกเขามีคนที่รักและเป็นห่วงเขา ทุกชีวิตเป็นเป้าหมายศักดิ์สิทธิ์ในตัวเอง และดังนั้นจึงไม่อาจถูกใช้เป็นเครื่องมือไปเพื่อบรรลุอะไรทั้งนั้น

ข้อสุดท้าย การใช้สันติวิธีสู้กับอำนาจรัฐมีความเสี่ยง ทั้งจากกฎหมายของรัฐและจากความรุนแรงที่อาจเกิดขึ้น เพราะไม่ได้หมายความว่า เมื่อฝ่ายหนึ่งใช้สันติวิธีแล้วฝ่ายที่ตนต่อสู้ด้วยจะไม่ใช้ความรุนแรง ด้วยเหตุนี้ ทุกคนที่ก้าวออกมาต่อสู้เช่นนี้ต้องได้รับรู้ว่ากำลังเสี่ยงกับอะไรและทำไปเพื่ออะไร ในแง่นี้พวกเขาควรต้องเห็นรูปร่างหน้าตาของอนาคตที่เป็นไปได้จริง เพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจว่าจะต่อสู้หรือไม่อย่างไรด้วย

ที่ตัดสินใจใช้สันติวิธี เลือกใช้วิธีนี้ด้วยเหตุผลหลากหลาย ส่วนใหญ่ก็เพราะเห็นว่าวิธีการนี้มีพลังเช่นที่สังคมไทยกำลังประจักษ์อยู่ แต่ที่สำคัญไม่แพ้ประสิทธิผลของสันติวิธี คือ ความเชื่อของคนที่ต่อสู้ด้วยวิธีนี้ว่า อนาคตที่ตนมุ่งสร้างนั้นสวยงาม เติบโตขึ้นบนเนื้อดินแห่งมิตร ไม่ใช่ความเป็นศัตรูที่ต้องประหัตประหารกันให้สิ้นไป