ว่อนเน็ต!คำทำนายอนาคตชาติ
โลกออนไลน์ แชร์กันว่อนเน็ต คำทำนายอนาคตชาติ หลังเกิดกลุ่มต่อต้านรัฐบาล
โลกออนไลน์ แชร์กันว่อนเน็ต คำทำนายอนาคตชาติ หลังเกิดกลุ่มต่อต้านรัฐบาล
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สถานการณ์การเมืองปัจจุบันที่มีการต่อสู้ขับไล่ระบอบทักษิณของม็อบนกหวีดและประกาศรบแตกหักโดยในวันที่ 1 ธ.ค. จะมีการเคลื่อนพลเข้าทำเนียบรัฐบาล และสตช.ขณะที่น.ส. ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ยืนยันจะไม่ยุบสภาหรือลาออก ซึ่งหลายฝ่ายเป็นห่วงว่า การเผชิญหน้าครั้งนี้อาจเกิดการปะทะและเสี่ยงต่อความรุนแรง ล่าสุดในโลกออนไลน์มีการนำคำทำนายอนาคตชาติที่อ้างว่า เป็นของหลวงพ่อฤษีลิงดำ ซึ่งเคยทำนายไว้เมื่อหลายปีก่อนมาเผยแพร่และส่งต่อกันจำนวนมาก
ทั้งนี้ โพสต์ทูเดย์ โดยนายภัทระ คำพิทักษ์ บรรณาธิการ ได้เคยเขียนสกู๊ป เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2554 เรื่อง ฉีกคำทำนาย "นารีขี่ม้าขาว" ว่า “ความเชื่อ”กับ“ความรู้”ในสังคมไทยบางครั้งก็เป็นเรื่องเดียวกัน บางคราวก็เป็นคนละเรื่อง แต่ขอโทษ...กรุณาอย่าล้อเล่นกับความเชื่อของคนไทย
ศุกร์ที่ 16 ก.ย.ที่ผ่านมา อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นำคณะผู้บริหารพรรคประชาธิปัตย์ลุยน้ำเยี่ยมประชาชนใน จ.สิงห์บุรี ระหว่างนั้นเขาได้แวะไปนมัสการพระธรรมสิงหบุราจารย์ หรือ หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม ที่วัดอัมพวัน อ.พรหมบุรี
อดีตนายกรัฐมนตรี ได้กราบสนทนาไต่ถามถึงข้อมูลความเดือนร้อนของชาวบ้านและพระภิกษุสงฆ์ รวมทั้งขอคำแนะนำการแก้ไขสถานการณ์น้ำท่วมจากหลวงพ่อ พูดจากกันเสร็จสรรพ จู่ๆหลวงพ่อก็ถาม อดีตนายกฯผู้เป็นสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยอันดับต้นๆของโลก รวมทั้งคณะที่ห้อมล้อมอยู่ซึ่งมีทั้งนักการเมือง สื่อมวลชน ฯลฯว่า “เคยได้อ่านคำทำนายของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ กันหรือยัง รู้ใช่ไหมว่า ที่ท่านได้เคยทำนายว่า ถ้าประเทศไทยมีนายกฯเป็นผู้หญิง จะทำให้บ้านเมืองเสียหาย มีปัญหา...”
หลวงพ่อจรัลยังระบุชัดๆด้วยว่า ขอให้นายอภิสิทธิ์รักษาเนื้อ รักษาตัวให้ดี “เพราะจะได้กลับมาเป็นนายกฯอีกครั้งหนึ่งแน่ ให้ดูแลทุกข์สุขชาวบ้านไว้”
ตึ๊ง....อมตะวาจานี้ สะเทือนเลื่อนลั่นไปถึงกัมพูชาและไหนต่อไหน ในชั่วพริบตา
ถ้าสมณะผู้กล่าววาจานี้เป็นเพียงภิกษุผู้ถลกจีวรแดงถือไม้ไล่หวดเจ้าหน้าที่ในช่วงมีม็อบกลางเมืองก็คงเป็นแค่ปุยนุ่น หาสาระแก่นสารอะไรไม่ได้ แต่นี่คือ หลวงพ่อจรัล แห่งวัดอัมพวัน วัดซึ่งเป็นศูนย์ปฏิบัติธรรมสำคัญของประเทศ เป็นพระภิกษุสงฆ์ซึ่งมีศีลาจาริยวัตรงดงาม เป็นพระมหาเถระผู้ช่ำชองทางการปฏิบัติ มีศิษย์อยู่เรือนแสนเรือนล้านทั้งในและนอกประเทศ
คำทักนี้จึงทำให้วงการการเมืองสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นราวกับเขื่อนแตก!
หลวงพ่อจรัลมิใช่ไม้ใหญ่ไร้ราก
ก่อนจะเป็นมหาเถระผู้ทรงคุณวิเศษในวันนี้ ในวัยเยาว์ท่านเป็นทั้งศิษย์พระมหาเถระนามกระเดื่องหลายรูปทั้งสายพระป่าอีสาน และสายพระเถราจารย์ภาคกลางผู้ได้รับขนานนามว่า เป็นอมตะเถระ
บูรพาจารย์เหล่านั้น คือ พระครูนิวาสธรรมขันธ์ (หลวงพ่อเดิม พุทธสโร) วัดหนองโพธิ์ อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ ท่านพ่อลี ธมฺมธโร วัดอโศการาม จังหวัดสมุทรปราการ และท่านเจ้าคุณอริยคุณาธร (เส็ง ปุสโส) พระราชสิทธิมุนี (โชดก ญาณสิทฺธิ) วัดมหาธาตุ ฯลฯ
นอกจากศึกษาเรื่องปริยัติ ปฏิบัติมาอย่างช่ำชองแล้ว ในด้านวิทยาคม ท่านยังเป็นศิษย์ 2 พระมหาเถระผู้อยู่ในทำเนียบนาม “จาด-จง-คง-อี๋” นั่นคือ หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก จังหวัดพระนครศรีอยุธยาและหลวงพ่อจาด วัดบางกระเบา จังหวัดปราจีนบุรี ไหนจะเคยศึกษาเรื่องการพยากรณ์ จากสุดยอดโหราจารย์เมืองไทย สังฆราช อยู่ ญาโนทัย วัดสระเกศ กรุงเทพฯ อีกต่างหาก
ถามคนไปวัดอัมพวันแล้วโดนทักเถอะว่า จ๊ากขนาดไหน
แล้วจะประเมินวาจาของท่านไร้ค่าได้อย่างไร?
เมื่อท่านถามว่า “เคยได้อ่านคำทำนายของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ กันหรือยัง รู้ใช่ไหมว่า ที่ท่านได้เคยทำนายว่า ถ้าประเทศไทยมีนายกฯเป็นผู้หญิง จะทำให้บ้านเมืองเสียหาย มีปัญหา...” ก็ต้องพลิกคำทำนายของหลวงพ่อฤษีลิงดำโดยพลัน
มีคำทำนายชุดหนึ่งแพร่ระบาดกันมาก ไม่ไว้แม้แต่โลกออน์ไลน์ โดยมากมักจะอ้างกันว่า นี่คือ คำทำนายของหลวงพ่อฤษีลิงดำ บางวรรคบางตอนของคำทำนายนี้ถูกหยิบเอามาใช้ประโยชน์ทางการเมืองในช่วงเลือกตั้งที่ผ่านมาเพื่อสร้างเจตนคติที่เป็นประโยชน์แก่ผู้สมัครพรรคเพื่อไทย
ความนั้นคือ “นารีขี่ม้าขาว...”
นั่นเป็นบางวรรคจากทั้งหมดซึ่งมีความว่า
“คำทำนายที่เคยมีช้านานนัก เริ่มประจักษ์ให้เห็นเร้นไม่ได้
หลวงพ่อฤาษีลิงดำเคยทำนาย เมื่อถึงปลายรัชกาลผ่านเข้ามา
ประเทศชาติจะรุ่งเรืองและเฟื่องฟุ้ง น้ำมันผุดขึ้นมาจนเห็นค่า
พวกกาขาวจะบินรี้หนีเข้ามา เป็นประชาจนเต็มพระนคร
ชนทั่วโลกจะยกพระองค์ท่าน ชื่อกระฉ่อนร่อนทั่วทุกสิงขร
ออกพระนามลือชื่อดั่งทินกร องค์อมรเอกบุรุษแห่งแผ่นดิน
ชาวประชาจะปิติยิ้มสดใส แต่อกไหม้หนอนกินข้างในสิ้น
จะมีพวกกาฝากคอยกัดกิน เพื่อให้ได้สิ่งถวิลสมจินตนา
จะมีการต่อตีกันกลางเมือง ขุนนางเขื่องกังฉินกินทั่วหล้า
คอรัปชั่นจะกัดกร่อนทั้งพารา ประดุจปลวกกินฝานั้นปะไร
ข้าราชการตงฉินถูกประนาม สามคนหามสี่คนแห่มาลากไส้
เกิดวิกฤติผิดเพี้ยนโดยทั่วไป โกลาหลหม่นไหม้ไร้ความดี
ประชาชีจะสับสนเรื่องดีชั่ว ถ้วนทุกทั่วจะหมุดขุดรูหนี
ไม่แน่ใจสิ่งที่ทำนำความดี เกรงเป็นผีตายตกไปตามกัน
พุทธศาสน์จะถูกรุกและล้ำ มิตรเคยค้ำเป็นศัตรูมุ่งอาสัญ
เกิดวิกฤติธรรมชาติอุบาทว์ครัน พายุลั่นน้ำถล่มดินทลาย
แผ่นดินแยกแตกเป็นสองปกครองยาก เกิดวิบากทุกข์เข็ญระส่ำระสาย
เกิดการปราบจลาจลชนล้มตาย เลือดเป็นสายน้ำตานองสองแผ่นดิน
ข้าเป็นนายนายเป็นข้าน่าสมเพช ผู้มีบุญมีเดชจะสูญสิ้น
ทั้งพฤฒาอาจารย์ลือระบิล จะร่วงรินดุจใบไม้ต้องสายลม
ความระทมจะถมทับนับเทวศ ดั่งดวงเนตรมืดบอดสุดขื่นขม
คนที่ดีจะก้มหน้าสุดระทม ส่วนคนชั่วหัวร่อร่าทำท่าดัง
จะมีหนึ่งนารีขี่ม้าขาว ควงคฑามุ่งสู่ดาวสร้างความหวัง
ผู้ปกครองจะเป็นหญิงพึงระวัง สายน้ำหลั่งกรากเชี่ยวหวาดเสียวใจ
ศิวิไลซ์จะบังเกิดในสยาม หลังฝนคร้ามลั่นครืนจะยืนได้
จะเข้าสู่ยุคมหาชนพาไป เปลี่ยนเมืองใหม่ศักราชแห่งประชา
คนชั่วจะถูกปราบราบคาบสิ้น แผ่นดินเดือดสูญหายไร้ปัญหา
ประเทศชาติผ่านวิกฤติด้วยศรัทธา ยามเมื่อฟ้าศรีทองผ่องอำไพ”
บอกแล้วว่า อย่าล้อเล่นกับความเชื่อของคนไทย
พอคำทำนายนี้แพร่ระบาดมากและมีคนฉกฉวยไปใช้ประโยชน์ด้านต่างๆ เดือดร้อนทางวัดท่าซุงต้องออกคำชี้แจงว่า ทั้งหมดนั้น ไม่ใช่คำทำนายของหลวงพ่อฤษีลิงดำ
นายศุภเดช สืบตระหง่าน ทนายความ ผู้รับมอบอำนาจจากวัด แจงชัดๆแม้กระทั่งในเวปของวัดที่ www.watthasung.com ว่า จึงขอแจ้งให้ทราบว่า คำทำนายบทกลอนทั้งหมดนี้ ไม่ใช่คำทำนายของ "หลวงพ่อฤาษีลิงดำ" ทั้งสิ้น
แล้วคำทำนายจริงๆของท่านคืออะไร ?
เรื่องนี้มีบันทึกของวัดและทางวัดนำเผยแผ่ทางเวปของวัดไว้ว่า หลวงพ่อฤษีลิงดำ เล่าไว้เองว่า ในช่วงปี พ.ศ.2518 นั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถก็ทรงปริวิตกและทรงมีความห่วงใยประเทศชาติบ้านเมืองเป็นอย่างยิ่ง เมื่อเสด็จพระราชดำเนินมายังวัดท่าซุงเมื่อวันที่ 10 ส.ค.ปีนั้น ทรง “ได้ตรัสถามความเป็นไปของบ้านเมืองในอนาคตว่าจะเป็นอย่างไร”
ท่านได้ถวายวิสัชนาว่า“ประเทศชาติบ้านเมืองของเราจะไม่ตกเป็นทาสของใคร อาตมาขอถวายชีวิตเป็นประกันเกี่ยวกับเรื่องนี้ นับตั้งแต่ปี พ.ศ.2520เป็นต้นไป ประเทศไทยจะเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ ความเยือกเย็นจะเริ่มปรากฏ ความมั่งคั่งสมบูรณ์จะมีขึ้นแก่ประเทศชาติและประชาชน แต่จะยังไม่ปรากฏชัดนัก แต่เราจะมองเห็นได้ชัดๆ ก็ต้องปี พ.ศ. 2524 เปรียบเหมือนอรุณได้ขึ้นดีแล้วและเริ่มฉายแสงให้เห็นความมืดหมดไป”
ท่านเล่าไว้ด้วยว่าที่กล้ายืนยันเช่นนั้นเพราะเหตุผลหลายประการ
หนึ่งในนั้นคือ ท่าน “ได้พบและได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่งเป็นสมุดข่อย ซึ่งพระอรหันต์ในอดีตนามว่า พระพุทธโฆษาจารย์ (ลำใย) เขียนไว้ ทำนายชะตาบ้านเมืองก่อนที่กรุงศรีอยุธยาจะแตกเสียอิสรภาพแก่พม่า ก่อนที่กรุงเทพฯ ยังไม่ปรากฏ”
ทำนายนั้นมีว่า
“กรุงศรีอยุธยาจะต้องถูกข้าศึกตีแตก แต่จะเสียอิสรภาพไม่นานนัก จะมีคนดีของกรุงศรีอยุธยามากู้ชาติ แต่เมื่อกู้ชาติได้แล้วจะต้องไปตั้งเมืองหลวงอยู่ใหม่”
ความเป็นจริงในกาลต่อมาได้ยืนยันคำทำนายนี้แล้วว่า แม่นยำเพียงไร
ท่านระบุด้วยว่า “ในสมุดข่อยเล่มเดียวกันนี้ พระพุทธโฆษาจารย์ได้กล่าวทำนายเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นแก่กรุงเทพมหานคร เมืองหลวงใหม่ ในวันข้างหน้า ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นแต่ละรัชกาลดังนี้
รัชกาลที่ 1. ทำนายว่า มหากาฬผ่านมหายักษ์
รัชกาลที่ 2. ทำนายว่า รู้จักธรรม
รัชกาลที่ 3. ทำนายว่า จำต้องคิด
รัชกาลที่ 4. ทำนายว่า สนิทธรรม
รัชกาลที่ 5. ทำนายว่า จำแขนขาด
รัชกาลที่ 6. ทำนายว่า ราษฎร์ราชาโจร
รัชกาลที่ 7. ทำนายว่า นั่งทนทุกข์
รัชกาลที่ 8. ทำนายว่า ยุคทมิฬ
รัชกาลที่ 9. ทำนายว่า ถิ่นกาขาว
รัชกาลที่ 10. ทำนายว่า ชาววิไล”
หลวงพ่อฤษีลิงดำระบุว่า
“เมื่อพิจารณาถึงคำทำนายและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแต่ละรัชกาลก็จะเห็นได้ชัดว่า คำทำนายนั้นถูกต้องเพียงใด
รัชกาลที่ 1. ผ่าน พระเจ้าตากสิน ขึ้นครองราชย์สมบัติ
รัชกาลที่ 2. ท่านว่างจากศึกสงครามก็หันมาทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ให้พระสงฆ์ค้นคว้าพระธรรมวินัยรวบรวมกันเป็นการใหญ่
รัชกาลที่ 3. ท่านมีหัวคิดริเริ่มหาเงินมาสร้างสรรค์บ้านเมืองให้เจริญรุ่งเรืองปรากฏมาจนถึงทุกวันนี้
รัชกาลที่ 4. ท่านสนิทธรรม ก็เพราะพระราชาองค์นี้ทรงผนวชถึง 27 พรรษา มีความคล่องตัวในพระธรรมวินัย ทรงไว้ซึ่งพระไตรปิฎกอย่างแตกฉาน และยังมีความสนิทสนมกับ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) อย่างยิ่ง เป็นคู่บารมีกัน
รัชกาลที่ 5. จำแขนขาด เราเห็นได้ชัดมาก เพราะเราต้องเสียดินแดนไปหลายครั้งหลายหน โดยพระองค์ทรงยอมเสียแขนขาดีกว่าเสียตัวทั้งหมด คือยอมเสียผืนแผ่นดินบางส่วน เพื่อรักษาเอกราชของชาติไว้
รัชกาลที่ 6. เป็นโจร เพราะทรงใช้จ่ายเงินในท้องพระคลังจนหมดสิ้น แต่อาตมาเห็นว่าพระองค์ทรงเป็นนักชาตินิยม มีพระปรีชาสามารถปลุกใจประชาชนให้รักชาติบ้านเมือง เช่นมีเพลงบทหนึ่งทรงพระนิพนธ์ไว้ว่า “ใครมาเป็นเจ้าเข้าครอง คงจะต้องบังคับขับไส เคี่ยวเข็ญเย็นค่ำร่ำไป ตามวิสัยเชิงเช่นผู้เป็นนาย” ทรงเป็นนักประชาธิปไตย จึงได้ทำทุกอย่างให้บุคคลอื่นเห็นว่า พระองค์ไม่ทรงถือพระองค์ เช่น แสดงมหรสพ เล่นโขนกับข้าราชบริพาร
ยิ่งกว่านั้นพระองค์ยังสามารถทำให้ประเทศไทยเป็นที่ปรากฏแก่ชาวโลก โดยส่งทหารไปช่วยสงครามโลกครั้งที่ 1. จึงจำเป็นต้องใช้เงินมาก แม้จะใช้เงินมาก แต่ประโยชน์ก็เกิดแก่ประเทศชาติอย่างหนัก
รัชกาลที่ 7. นั่งทนทุกข์ พระองค์เสวยราชสมบัติอยู่ในเกณฑ์ตกอับพอดี เงินในท้องพระคลังก็หมดมาแต่รัชกาลก่อน พระองค์จึงทรงประทับอยู่บนกองทุกข์ต้องดุลข้าราชการออกเป็นจำนวนมาก เท่านั้นยังไม่พอ ต่อมาพระองค์ต้องจำพระทัยสละราชสมบัติ ไปนั่งทนทุกข์อยู่ต่างแดน จนสิ้นพระชนม์
รัชกาลที่ 8. ยุคทมิฬ บ้านเมืองอยู่ในภาวะสงครามโลกครั้งที่ 2. ประชาชนตกอยู่ในสภาพบ้านแตก อดอยากยากแค้นแสนสาหัส พระมหากษัตริย์ก็ถูกลอบปลงพระชนม์จนสวรรคต
รัชกาลที่ 3. ทำนายว่า ถิ่นกาขาว เราก็เห็นแล้วว่าฝรั่งมาอยู่เต็มบ้านเต็มเมือง ล้วนแต่คนผิวขาวทั้งนั้น
สำหรับรัชกาลต่อไป คือ รัชกาลที่ 10. ทำนายว่า ชาววิไล หมายความว่า บ้านเมืองเราได้ผ่านยุคเข็ญมาแล้ว จะได้ประสบความเจริญรุ่งเรืองกันเสียที เราจะมั่งคั่งสมบูรณ์เหมือนนานาอารยะประเทศที่เจริญแล้วทั้งหลาย”
แม้ท่านจะว่า คำทำนายของพระพุทธโฆษาจารย์ (ลำใย) แม่นยำแต่ท่านเองก็กังขาอยู่บางเรื่องเช่นกัน ด้วยเหตุนี้จึงมีคำถามบางประการขึ้นมาในใจเหมือนกันเช่น “ราชวงศ์จักรีจะมีเพียง ๑๐ รัชกาลเท่านั้นรึ?”
ท่านว่า เรื่องนี้ “เป็นเรื่องที่อาตมาสนใจเป็นพิเศษ จึงได้สอบถามเรื่องนี้กับ หลวงพ่อปาน และพระอาจารย์ต่างๆ ซึ่งจิตของท่านเป็นสมาธิเข้าถึงขั้นอภิญญา สามารถที่จะรู้จริงในเรื่อง อดีต ปัจจุบัน และอนาคต ซึ่งก็ยังมีอยู่หลายๆ องค์ในขณะนี้ ทุกๆ รูปที่อาตมาสอบถามจากท่าน ต่างก็ยืนยันตรงกันว่า พระมหากษัตริย์จะยังคงมีอยู่คู่กับชาติไทยตลอดไปอีกนาน มิใช่เพียงแค่ 10 พระองค์เท่านั้น แต่ที่พยากรณ์ไว้เพียงแค่นั้นก็เพราะว่าเริ่มตั้งแต่รัชกาลที่ 10. เป็นต้นไป บ้านเมืองจะมั่งคั่งสมบูรณ์ ร่มเย็นผาสุก ประชาชนในชาติจะร่ำรวย ประเทศไทยจะเป็นประเทศมหาอำนาจประเทศหนึ่ง ซึ่งจะมีแต่ความเจริญตลอดไป ไม่ล้มลุกคลุกคลานดังที่แล้วมา จึงไม่จำเป็นจะต้องพยากรณ์ต่อไปอีก”
นั่นเป็นคำทำนายที่หลวงพ่อฤษีลิงดำค้นพบและศึกษาหาคำตอบ จนมั่นใจและยืนยันได้ สำหรับคำทำนายของหลวงพ่อเองนั้นมีหลายเรื่องอาทิ “ดวงทหารคู่กับดวงเมือง”
ท่านว่า บ้านเมืองจะอยู่รอดปลอดภัยก็เพราะทหารเท่านั้น เพราะเมื่อสร้างบ้านเมืองใหม่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงผูกดวงเมืองและวางลัคนาดวงเมืองไว้ให้คู่กับดวงทหาร โดยให้ทหารเป็นผู้ปกป้องคุ้มครองบ้านเมือง
“ที่พูดนี้มิใช่จะมายุยงให้ท่านทั้งหลายกระด้างกระเดื่อง ทำการปฏิวัติรัฐประหารยึดอำนาจจากใครๆ เพียงแต่...ขอให้เราทุกคนช่วยกันควบคุมสถานการณ์ไว้ให้บ้านเมืองสงบสุขเท่านี้ก็ได้ชื่อว่าทหารควบคุมรักษาเมืองแล้ว...”
อีกเรื่องคือ ท่านทำนายว่า “เมืองไทยมีขุมทรัพย์มหาศาล” มีทั้งน้ำมัน แร่ทองคำ แร่ยูเรเนียม
มีมากขนาดไหน เฉพาะน้ำมันนั้นท่านว่า “น้ำมันที่ใช้อยู่ในโลกขณะนี้มีไม่ถึงหนึ่งในสามที่มีในเมืองไทย…”
ถึงจะมีมากขนาดนั้นแต่ท่านว่าจากนิมิตที่ท่านมีนั้น ขุมทรัพย์เหล่านี้ยังไม่ปรากฏขึ้นและนำขึ้นมาใช้ประโยชน์ได้ จะปรากฏขึ้นและนำมาใช้ได้เมื่อ “
เมื่อใดที่ผู้บริหารดีทรัพยากรจะปรากฏขึ้น”
แล้วทำไมไม่ปรากฏขึ้นเวลานี้นั่นเพราะ “... หากปรากฏขึ้นในขณะนี้ พวกทุจริตก็จะงุบงิบเอาไปเป็นผลประโยชน์ส่วนตนหมด...”
ผู้สนใจอยากรู้ว่า คำทำนายตำรับดั่งเดิมของวัดท่าซุง ศึกษาได้จากข้อมูลของวัดเพราะมีแม้แต่ไฟล์เสียงที่หลวงพ่อเทศน์ไว้
ส่วนคำทำนายของหลวงพ่อจรัลที่ว่า ขอให้นายอภิสิทธิ์รักษาเนื้อ รักษาตัวให้ดีดูแลทุกข์สุขชาวบ้านไว้ “เพราะจะได้กลับมาเป็นนายกฯอีกครั้งหนึ่งแน่”นั้นคงจะมีคำตอบในไม่ช้า
ที่แน่ๆ อภิสิทธิ์ มีกำลังใจขึ้นอีกบาน
กรุณาอย่าล้อเล่นกับความเชื่อของคนไทย