posttoday

สังคมจิ้งหรีด

02 มกราคม 2557

ในสมัยที่ยังเป็นเด็กนักเรียน เด็กรุ่นนั้นมีกีฬายอดนิยมอย่างหนึ่งคือ เอาจิ้งหรีดมากัดกัน แต่ละคนต่างก็มีจิ้งหรีดตัวเก่งของตนเอง ทั้งทองดำ ทองแดง ถ้าจิ้งหรีดของใครไม่ยอมกัดก็เอามาปั่นหัวแล้วปล่อยลงไปในสังเวียน คราวนี้แหละ จิ้งหรีดตัวที่ถูกปั่นหัวจะวิ่งไล่กัดคู่ต่อสู้ทันที ถ้ายังไม่กัดกันก็จับมาปั่นหัวอีกให้มันกัดกันจนได้ จิ้งหรีดซึ่งถูกปั่นหัวคงเวียนหัว เห็นตัวไหน อยู่ใกล้ๆ ก็จะเข้าไปกัดทันที ท่ามกลางเสียงเชียร์ของคนดู นึกไปแล้วก็เป็นบาปเหมือนกัน

ในสมัยที่ยังเป็นเด็กนักเรียน เด็กรุ่นนั้นมีกีฬายอดนิยมอย่างหนึ่งคือ เอาจิ้งหรีดมากัดกัน แต่ละคนต่างก็มีจิ้งหรีดตัวเก่งของตนเอง ทั้งทองดำ ทองแดง ถ้าจิ้งหรีดของใครไม่ยอมกัดก็เอามาปั่นหัวแล้วปล่อยลงไปในสังเวียน คราวนี้แหละ จิ้งหรีดตัวที่ถูกปั่นหัวจะวิ่งไล่กัดคู่ต่อสู้ทันที ถ้ายังไม่กัดกันก็จับมาปั่นหัวอีกให้มันกัดกันจนได้ จิ้งหรีดซึ่งถูกปั่นหัวคงเวียนหัว เห็นตัวไหน อยู่ใกล้ๆ ก็จะเข้าไปกัดทันที ท่ามกลางเสียงเชียร์ของคนดู นึกไปแล้วก็เป็นบาปเหมือนกัน

คนไทยทุกวันนี้จำนวนไม่น้อยชักจะมีสภาพเหมือนจิ้งหรีดเข้าไปทุกที ภายใต้ความขัดแย้งทางการเมือง คนไทยถูกปั่นหัวด้วยข้อมูลข่าวสารจริงบ้าง เท็จบ้าง จนมึนไปหมด มีการปล่อยข่าวอย่างเป็นขบวนการ เป็นมืออาชีพ มีการโฆษณาชวนเชื่อ ยุยง ปลุกปั่น ให้คนใช้กำลังเข้าทำร้ายกัน เป็นการยุยงให้ใช้ความรุนแรงเข้าแก้ไขความขัดแย้งและความเห็นต่าง หากคนไทยไม่ตั้งสติให้ดีแล้วมีหวังกัดกันเหมือนจิ้งหรีด

สังคมไทยในขณะนี้จะเรียกว่า “สังคมจิ้งหรีด” ก็คงไม่ผิดนัก ดังนั้น คนไทยต้องเสพข่าวอย่างมีสติ รอบคอบ ฟังหูไว้หู อย่างน้อยถามตัวเองก่อนว่า ข่าวนั้นมีทางเป็นไปได้หรือไม่ น่าจะเป็นจริงหรือไม่ และตั้งหลักว่า เราจะยืนอยู่กับความจริง ความถูกต้อง ความชอบธรรม

ท่านสังเกตบ้างไหมว่า ทำไมระยะหลังจึงมีการใช้ความรุนแรงเกิดขึ้นบ่อย ทั้งที่ความเห็นต่างไม่จำเป็นต้องใช้ความรุนแรงแต่อย่างใด แต่ก็มีความพยายามของบางฝ่ายที่มุ่งให้เกิดความรุนแรง โดยการปั่นหัวให้หลงเชื่อข้อมูลที่แต่งขึ้นหรือถูกบิดเบือนเพื่อมุ่งให้เกิดผลตามที่ต้องการ กล่าวหาอีกฝ่ายหนึ่งจนกลายเป็นคนเลวที่ต้องกำจัด อาจถึงใช้อาวุธเข้าทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บหรือตาย หากเจ้าหน้าที่ผู้รักษากฎหมายไม่ออกมาทำหน้าที่ อีกฝ่ายก็ต้องหาทางป้องกันตัวเอง เพราะคงไม่มีใครหนีหัวซุกหัวซุนหรือปล่อยให้เป็นฝ่ายถูกกระทำได้ตลอดไป

ความรุนแรงในช่วงหลังเริ่มจากกรณีนักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหงถูกกลุ่มชายติดอาวุธจากการชุมนุมของ นปช.ที่สนามราชมังคลากีฬาสถานซึ่งมีรั้วติดกัน และมีความขัดแย้งกันตั้งแต่ตอนเย็น ถูกลอบยิงด้วยปืนนานาชนิด หากใครได้ดูและฟังคลิปวิดีโอที่อาจารย์และนักศึกษาแอบถ่ายไว้ จะได้ยินเสียงปืนดังตลอดทั้งคืนวันที่ 30 พ.ย. ถี่บ้าง ห่างบ้าง จากมือปืนที่ยิงจากสนามกีฬาและนอกรั้วมหาวิทยาลัยเข้ามาภายในที่นักศึกษาอยู่ ซึ่งร้อยละ 80 เป็นหญิงจนต้องหลบหนีกระสุนเอาตัวรอดอย่างจ้าละหวั่น เหมือนกับเหตุจลาจลย่อยๆ แม้ผู้บริหารมหาวิทยาลัยได้ติดต่อขอความช่วยเหลือจากตำรวจแต่ก็ไม่ได้รับการตอบสนอง อาจารย์ต้องช่วยนำนักศึกษาไปอยู่ในพื้นที่ปลอดภัย จนกระทั่งสายวันรุ่งขึ้น ทหารจึงเข้ามาช่วยพานักศึกษาออกไปได้ อย่างไรก็ดี มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บหลายคนทั้งที่ไม่น่าจะเกิดขึ้น ทั้งหมดมาจากการปั่นหัวผู้มาชุมนุมให้เชื่อว่า นักศึกษา มร.ที่ชุมนุมหน้ามหาวิทยาลัยนั้นเป็นคนของสุเทพที่ก่อกวนบ้านเมืองและล้มรัฐบาล จนผู้ชุมนุมหลงเชื่อและเข้ามาทำร้ายนักศึกษา คาดว่าน่าจะเป็นการวางแผนกันมาก่อนแล้ว และมีข่าวว่ามีเขมรเข้ามาด้วย

ต่อมาความรุนแรงเกิดขึ้นอีกเมื่อกลุ่ม คปท.ไปปิดล้อมสนามกีฬาไทยญี่ปุ่นที่ดินแดง ซึ่งใช้เป็นที่สมัครรับเลือกตั้ง สส.และพยายามบุกเข้าไปข้างใน เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ใช้แก๊สน้ำตา ฉีดน้ำสารเคมี กระสุนยางยิงเข้าใส่อย่างเมามัน ที่สำคัญมีการใช้กระสุนจริงจนผู้ชุมนุมต้องหนีกันจ้าละหวั่น แต่ก็ถูกยิงตาย 1 คน และได้รับบาดเจ็บหลายคน ตำรวจถูกยิงตาย 1 คน โดยตำรวจกล่าวหาว่า ผู้ชุมนุมจาก คปท.เป็นคนยิงตำรวจตาย ทั้งที่วิถีกระสุนมาจากมุมสูง ซึ่งเวลานั้นมีคนที่แต่งตัวเหมือนตำรวจทุกอย่างไปอยู่บนหลังคาอาคารสูงใกล้เคียงที่ไม่มีใครขึ้นไปได้นอกจากตำรวจ และมีคนเห็นว่ายิงลงมาข้างล่าง ทั้งที่การชุมนุมเช่นนี้ไม่น่าจะมีการใช้อาวุธจริงไม่ว่าจะจากฝ่ายไหน จนทำให้คนตายและบาดเจ็บทั้งที่สามารถหลีกเลี่ยงได้ นอกจากนั้น ยังมีคลิปที่เห็นคนใส่เครื่องแบบตำรวจหลายคนที่ออกมาทุบรถของพยาบาลอาสาอย่างเมามัน ไม่ว่าตำรวจจะแก้ตัวอย่างไร หรือโยนไปยัง “มือที่สาม” คนก็ไม่เชื่อ

ก่อนอื่นตำรวจต้องสอบสวนหาข้อเท็จจริงว่าใครเป็นคนทำให้ตำรวจและคนของ คปท.เสียชีวิตและบาดเจ็บ นี่คือหน้าที่ของตำรวจที่ต้องทำ “ความจริง” ให้ปรากฏ ใครถูกใครผิดก็ต้องว่ากันไปตามกฎหมาย แต่กลับมีการปลุกระดมตำรวจชั้นผู้น้อยให้เชื่อว่า คปท.เป็นคนยิงตำรวจตาย ดังนั้น ตำรวจต้องเอาคืน หลายฝ่ายสงสัยว่าเกมนี้มีการพล็อตเรื่องไว้ก่อน (เหมือนกับปี 2553 ที่ต้องมีคนตายให้ได้) มีการปลุกระดมกล่าวหาว่าสุเทพจะนำตำรวจไปอยู่ใต้ อบต. เพื่อให้ตำรวจทั่วประเทศออกมาต่อต้าน

มีเพื่อนเล่าให้ฟังว่า ก่อนวันหยุดยาว นายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ซึ่งเป็นญาติกันได้แจ้งให้ไปบอกญาติๆ ทราบว่า อย่าไปแถวๆ คปท. เพราะตำรวจจะเอาจริงแล้ว นอกจากนั้น แหล่งข่าวในกลุ่มเสื้อแดงยังแจ้งให้ทราบว่ามีเขมรแทรกซึมเข้ามาด้วย หลังจากนั้นก็มีคนเอาอาวุธสงครามไปยิงใส่การ์ด คปท.จนตายไป 1 คน และบาดเจ็บอีก 3 คน วันรุ่งขึ้นตอนกลางวันก็มีคนขว้างระเบิดปิงปองใส่การ์ด คปท.จนบาดเจ็บไปอีก 45 คน พอตกดึกกลางคืนก็มีคนเอาปืนไปยิงการ์ด คปท.บาดเจ็บไปอีก 1 คน ขณะที่นิติธร ล้ำเหลือ แกนนำของ คปท.ถูกตามไล่ล่ากลางกรุง จนต้องหนีหัวซุกหัวซุนเข้าไปหลบที่เวทีราชดำเนินกลาง

ต่อมา เพื่อนได้รับแจ้งจากผู้ใหญ่ในวงการสีกากีอีกว่า หลังจากวันที่ 1 ม.ค. 2557 ตำรวจจะดำเนินการแก้แค้น คปท.อย่างต่อเนื่องเพื่อสั่งสอนว่า ใครทำให้ตำรวจตายจะต้องได้รับการตอบแทนอย่างสาสม หลังจากนี้ คาดว่าสมาชิก คปท.อาจถูกยิงบาดเจ็บล้มตายอีกหลายคน ข่าวอ้างว่า พวกเขาจะจัดการเฉพาะ คปท.เท่านั้น ไม่ยุ่งกับเวทีราชดำเนินและกองทัพธรรม ดังนั้น คปท.ต้องระวังตัวเป็นพิเศษ ใครที่ไม่มีธุระก็อย่าไปแถวนั้น เราไม่รู้ว่าข่าวนี้จะเป็นจริงอย่างไรหรือไม่ ซึ่งต้องรอดูกันต่อไป แต่ก็ขอให้ไม่เป็นความจริง เพราะไม่อยากเห็นมีคนตายและบาดเจ็บอีก เป็นที่น่าสังเกตว่า ในช่วงเวลานี้มีการคุกคามด้วยอาวุธต่อชีวิตและทรัพย์สินของคนเห็นต่างมากขึ้นทั้งใน กทม.และต่างจังหวัด

ไม่มีอะไรจะน่ากลัวเท่ากับตำรวจปลุกระดมตำรวจให้เกลียดประชาชน และแก้แค้นประชาชน เพราะตำรวจเป็นผู้ถืออาวุธถูกต้องตามกฎหมาย ตำรวจซึ่งทำหน้าที่พิทักษ์ประชาชนกำลังเปลี่ยนภารกิจเป็นทำร้ายประชาชนแทน หากตำรวจคิดว่า คปท.ทำร้ายตำรวจ ตำรวจก็ต้องพิสูจน์ทราบ หาหลักฐานเพื่อนำไปสู่การจับกุมผู้กระทำผิดฟ้องร้องให้ศาลลงโทษต่อไป ตำรวจไม่มีสิทธิตัดสินและลงโทษคนอื่นด้วยตัวเอง ตำรวจผู้น้อยที่ถูกปลุกปั่นยุยงควรตั้งสติให้ดี อย่าตกเป็นเหยื่อของนายตำรวจผู้ใหญ่ที่ไม่พอใจข้อเสนอการปฏิรูปตำรวจของ กปปส. และใช้ตำรวจชั้นผู้น้อยเป็นเครื่องมือ

วันนี้ จะได้รู้กันเสียทีว่า ผบ.ตร.กับ ผบช.น. ใครใหญ่กว่ากัน