เทวทัตลอบกัด

19 มกราคม 2557

พูดถึงพระเทวทัต ชื่อนี้ความหมายก็ดี แปลว่า เทพประทาน มาจากคำว่า เทว ซึ่งแปลว่า เทวดา

พูดถึงพระเทวทัต ชื่อนี้ความหมายก็ดี แปลว่า เทพประทาน มาจากคำว่า เทว ซึ่งแปลว่า เทวดา หรือ เทพ ส่วน ทัต แปลว่า ให้ มาจากทัตตะ ลบ ต ไป ตัวหนึ่ง รวมแล้วแปลว่า เทพให้มา หรือ เทพประทาน นั่นล่ะ

คิดสะระตะเอาเองครับ ว่าชื่อนี้คงไม่มีใครตั้งแน่ในประเทศไทยนี้ คือ ผมหมายถึงว่า ถ้าใครรู้ประวัติของพระเทวทัตทุกด้านคงไม่เอามาตั้งลูกชื่อหลานดอก เพราะภาพลักษณ์ของพระเทวทัตนั้นร้ายกาจและเลือดเย็นเหลือเกิน

เป็นความร้ายกาจและเลือดเย็นกับใครต่อใครเยอะแยะ โดยไม่นึกถึงบาป ไม่คำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิด ไม่คิดถึงปัญหาที่จะตามมา ขอเพียงแค่อาตมาได้คนเดียว

ก่อนที่จะไปดูความร้ายกาจและความเลือดเย็นของท่าน ไปเท้าประวัติกันหน่อย เพราะเหตุใดท่านจึงอยากเป็นใหญ่ อยากมีอำนาจนัก ถึงขั้นจะขึ้นปกครองสงฆ์แทนพระพุทธเจ้า

ท่านคือพี่ชายของพระนางยโสธรา (พิมพา) พระชายา ของเจ้าชายสิทธัตถะ (ซึ่งต่อมาก็คือพระพุทธเจ้า) และเป็นลูกของลุงเจ้าชายสิทธัตถะ

ออกบวชพร้อมกับพระราชวงศ์ 5 พระองค์ เจ้าชายภัททิยะ เจ้าชายอนุรุทธะ เจ้าชายอานันทะ เจ้าชายภคุ เจ้าชายกิมพิละ และมีภูษามาลาอีกหนึ่งคน ชื่อ อุบาลี รวมทั้งหมด 7 คน โดยพระพุทธเจ้าบวชให้

บวชแล้วทุกคนได้เป็นพระอรหันต์หมด ตามเวลาที่แตกต่างกัน ยกเว้นพระเทวทัตที่ได้แต่เพียงโลกิยสมาบัติ มีความสามารถในการแสดงฤทธิ์บางอย่างได้

ต่อมาเกิดใฝ่สูงอยากเป็นใหญ่ จึงได้แสดงฤทธิ์เหาะและแปลงกายเป็นงูให้เจ้าชายอชาตศัตรูเห็น จนเจ้าชายเกิดศรัทธายอมตนเป็นศิษย์ จากนั้นพระเทวทัตก็ยุยง เจ้าชายปลงพระชนม์พระเจ้าพิมพิสาร ผู้เป็นพระราช บิดา เพื่อขึ้นครองราชสมบัติแห่งแคว้นมคธแทน

นอกจากยุเจ้าชายอชาตศัตรูทำปิตุฆาตแล้ว ยังได้พยายามลอบปลงพระชนม์พระพุทธเจ้าอีกหลายครั้ง

ครั้งแรกได้ว่าจ้างพรานธนูให้ไปลอบสังหารพระพุทธเจ้ายังที่ประทับ แต่พรานธนูเมื่อเห็นพระพุทธเจ้าก็มีอาการอ่อนเปลี้ย ยกธนูไม่ขึ้น จากจิตคิดร้ายก็กลับกลายเป็นอ่อนโยนด้วยอำนาจพุทธบารมี ทิ้งธนูคลานเข้าไปกราบบาท

ครั้งที่สองวางแผนให้พนักงานเลี้ยงช้างปล่อยช้าง นาฬาคิรี ซึ่งดุร้ายและกำลังตกมันออกไปหมายให้เหยียบและใช้งาเสียบพระพุทธเจ้าในขณะออกบิณฑบาต แต่พอถึงช้างกลับหมอบชูงวงถวายความเคารพ

ครั้งที่สามขึ้นไปบนเขาคิชฌกูฏเอง แล้วกลิ้งหินลงมาหมายให้หล่นทับพระพุทธเจ้าขณะทรงดำเนินผ่านช่องเขาข้างล่าง แต่หินนั้นไปกระแทกกับก้อนหินตามทางลาดแตกกระจายเป็นก้อนเล็กก้อนน้อย และมีสะเก็ดหินก้อนหนึ่งปลิวลอยมากระทบข้อพระบาทของพระองค์จนช้ำห้อพระโลหิต

แผนปองร้ายพระพุทธเจ้าทั้งหมดล้มเหลว พระ เทวทัตแค้นใจมาก ไม่รู้สึกสำนึก อยากเป็นพระพุทธเจ้าเพื่อจะได้ปกครองสงฆ์ในเร็ววัน ถึงกับกระทำการที่ไร้ ยางอาย เสนอให้พระพุทธเจ้าลาออกจากตำแหน่ง พระศาสดาแล้วให้ตนขึ้นเป็นพระศาสดาแทน

โดยตนเองได้พยายามทำตัวให้ดูเป็นผู้นำที่เคร่งครัดอย่างยิ่งยวดเพื่อโดยบ่งแยกคณะสงฆ์ เสนอพระวินัยอย่างเคร่งครัด 5 ข้อ แด่พระพุทธเจ้า ได้แก่ ให้พระสงฆ์อยู่ป่าเป็นวัตร เลี้ยงชีพด้วยบิณฑบาตอย่างเดียว นุ่งห่มผ้า บังสุกุล อยู่ตามโคนต้นไม้ และห้ามฉันเนื้อสัตว์ตลอดชีวิต

ทั้งนี้ สิ่งที่พระเทวทัตเสนอมาพระพุทธองค์ไม่ทรงเห็นด้วยที่จะให้ทำตลอดชีวิต เพราะใครจะเลือกปฏิบัติอันไหนตลอดชีวิตก็ได้ไม่บังคับ พระเทวทัตจึงประกาศแยกตัวออกไปทั้งปลุกปั่นยุยงพระสงฆ์จำนวนหนึ่งให้เห็นด้วยและไปกับตนเข้าหลักทำสังฆเภททำสงฆ์ให้แตกจากกัน

หากจะย้อนอดีตชาติหลายๆ ชาติของพระเทวทัต ก็จะเห็นว่าทำไมพระเทวทัตจึงจ้องอาฆาตพยาบาททำลายพระพุทธเจ้า

ชาติหนึ่งนานมาแล้วพระเทวทัตเป็นพ่อค้ามีจิต ละโมบ ไม่ซื่อสัตย์ต่อลูกค้าและคู่ค้า และในชาตินั้นพระพุทธเจ้าเสวยพระชาติเป็นพ่อค้าด้วยแต่เป็นฝ่ายดี

วันหนึ่ง หญิงชราตกยากมีถาดทองคำของต้นตระกูลเหลืออยู่จึงนำออกมาขาย พ่อค้าเทวทัตเห็นแล้วจึงลวงหญิงชรานั้นว่า ถาดนั้นมิใช่ทองคำ แต่เป็นทองปลอม จึงเสนอซื้อราคาถูก แต่เธอรู้ดีว่าเป็นทองคำจริง จึงมิยอมขายให้

ในเวลาเดียวกัน พระพุทธเจ้าที่เสวยพระชาติเป็นพ่อค้ามาพบเข้า เห็นเป็นถาดทองคำแท้ก็ให้ราคาตามความเป็นจริง สร้างความโกรธแค้นให้แก่พ่อค้าเทวทัตมาก

ด้วยเหตุนี้ เทวทัตจึงผูกพยาบาทพระพุทธเจ้าด้วยการกอบเม็ดทรายขึ้นมา 1 กำมือหว่านลงกับพื้นพร้อมประกาศว่า จะขอจองล้างจองผลาญท่านต่อไปเท่าเม็ดทรายในกำมือ 1 เม็ด เท่ากับ 1 ชาติ

และนั่นเป็นที่มาว่า ทำไมพระเทวทัตจึงตาม เบียดเบียนจองเวรพระพุทธเจ้านับชาติไม่ถ้วน จน กระทั่งพระชาติสุดท้ายก่อนที่จะมาตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้เสวยพระชาติเป็นพระเวสสันดร และ พระเทวทัตได้มาเกิดเป็นพราหมณ์ชูชก

ดังนั้น จึงเชื่อมั่นว่า ใครๆ ก็ไม่อยากเป็นเทวทัต เพราะเทวทัตชอบลอบกัด

Thailand Web Stat