posttoday

เรื่องของคนขายชาติ

16 มีนาคม 2557

มีนิทานเรื่องหนึ่งชื่อ “ตระกูลชั่วขายชาติ”

มีนิทานเรื่องหนึ่งชื่อ “ตระกูลชั่วขายชาติ”

เริ่มเรื่องว่า หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 ผู้นำไทยบางคนคิดมักใหญ่ใฝ่สูงเนื่องจากมีปมด้อยในความเป็นทหารที่มาจากชาวสวนบ้านนอก รวมทั้งอับอายจากกรณีที่ไทยต้องเสียดินแดนให้แก่อังกฤษและฝรั่งเศสเมื่อครั้งที่ปกครองใต้ระบอบกษัตริย์ (บ้างก็ว่าแกอิจฉาที่คนตัวเล็กๆ อย่างญี่ปุ่นยังบุกยึดจีนและเกาหลีได้) จึงพยายามที่จะขายความคิดเรื่อง “มหาอำนาจแห่งเอเชียบูรพา” ซึ่งถ้าสงครามโลกครั้งที่ 2 จบลงแบบญี่ปุ่นชนะ ไทยคงได้เป็นมหาอำนาจจริงๆ

นายทหารคนเดียวกันนี้ได้หวนกลับมามีอำนาจอีกหลังการรัฐประหาร พ.ศ. 2490 ครั้งนี้ได้เปลี่ยนความคิดมาสนับสนุนมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกา ที่กำลังใช้เงินปูทางเข้ามาให้ประเทศต่างๆ ช่วยปราบคอมมิวนิสต์ ผู้นำกองทัพ (รวมทั้งตำรวจ) ได้ “สวาปาม” ผลประโยชน์จำนวนมากจากสงครามเย็นในครั้งนี้ มีการตกลงให้สหรัฐเข้ามายึดดินแดนในภูมิภาคต่างๆ ทำอะไรๆ ก็ได้ (ยิ่งมาทำอะไรมากก็ยิ่งได้เงินมาก) ได้อย่างเต็มที่ แต่ว่าก็ทำให้ประเทศเอกราชอย่างไทยที่เคยมีสง่าราศีต้องเสื่อมหมองไปอย่างมาก ด้วยสมญานามที่ถูกเรียกว่า “สุนัขรับใช้”

การรับประทานเงินสหรัฐอเมริกาในครั้งนั้นได้ก่อให้เกิดประเพณีการโกงกินอย่างไม่อายฟ้าดินขึ้นในสังคมไทย และลุกลามมาถึงการโกงกินทุกรูปแบบในทางการเมืองและการบริหารราชการ เพราะสหรัฐให้เงินจำนวนมากในการใช้จ่ายที่สำคัญ 2 ส่วน คือ ส่วนหลักที่ให้แก่รัฐบาลไทยเพื่อการดำเนินการด้านการทหาร จำพวกอาวุธยุทโธปกรณ์และการพัฒนากองทัพ กับส่วนรองที่ให้มาพัฒนาสร้างสาธารณูปโภค จำพวกถนนหนทาง เขื่อน โรงเรียน และโรงพยาบาล ทั้งนี้ผู้นำทหารได้ร่วมมือกับพ่อค้านักธุรกิจ “ทำมาหากิน” บนการพัฒนาเหล่านี้จนร่ำรวยอู้ฟู่กันถ้วนหน้า เกิดสภาพทางสังคมการเมืองแบบใหม่ที่เรียกว่า “นายทุนขุนศึก” ที่ทำให้เมืองไทยเน่าเฟะมากขึ้น

โชคร้ายที่ชัยชนะของนักศึกษาและประชาชนในเหตุการณ์วันที่ 14 ต.ค. 2516 ไม่อาจจะขจัด “เอดส์คอร์รัปชั่น” ที่มหามิตรอย่างสหรัฐมาเพาะเชื้อไว้นั้นได้ ยิ่งเมื่อทหารกลับมามีอำนาจอีกครั้งในเหตุการณ์วันที่ 6 ต.ค. 2519 และมีอำนาจต่อเนื่องกันมาจนถูกประชาชน “เตะก้น” อีกครั้งในเหตุการณ์เดือน พ.ค. 2535 ก็ได้เกิดวัฒนธรรม (ท่านอาจารย์ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ให้เรียกว่า “กษัยธรรม” ที่แปลว่าสิ่งที่ทำให้เสื่อม ซึ่งจะตรงข้ามกับ “วัฒนธรรม” ที่แปลว่าสิ่งที่ทำให้เจริญงอกงาม) อย่างใหม่ขึ้นในกองทัพ ที่อาจจะใช้ภาษาวิชาการในแนวกวนๆ ว่า “การโกงกินอย่างเป็นระบบ” ซึ่งก็คือการจัดสรรผลประโยชน์ตามตำแหน่งต่างๆ ในกองทัพ โดยทหารแต่ละเหล่าทัพจะทราบอย่างชัดเจนว่า เมื่อขึ้นสู่ตำแหน่งนี้จะมี “เปอร์เซ็นต์” จากการ “จัดซื้อจัดจ้าง” เท่าไหร่ โดยที่นักการเมืองต้องมองตาปริบๆ เพราะต้องเอาใจทหาร

ต่อมาจึงมีนายตำรวจหนุ่มคนหนึ่งที่เติบโตมาท่ามกลางความทะยานอยากของครอบครัว (บ้างก็ว่าน่าจะเป็นพันธุกรรม คือมีความโลภเป็นสายเลือดและเผ่าพันธุ์) ยิ่งได้มาเห็นการรับประทานเงินของประชาชนแบบสบายๆ (ทราบว่าแกเป็นนายตำรวจติดตามรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ คนหนึ่งที่เป็นชาวเหนือด้วยกันมาตั้งแต่ปี 2518) จึงมองเห็นช่องทางที่จะ “รับประทาน” อีกมากมาย

ด้วยความฉลาด (แกมโกง) อันบ่มเพาะมาจากสายเลือดและวิชาอาชญาวิทยาที่ร่ำเรียนมาจนจบในระดับดอกเตอร์ ร่วมกับเครือข่ายที่แกเชื่อมโยงไว้ตั้งแต่ที่เป็นนายตำรวจติดตาม ได้เข้านอกออกในตามกระทรวงต่างๆ พร้อมกับ “วิสัยยัด” เอ๊ย “วิสัยทัศน์” ของคนในยุคที่ดิจิตอลและระบบการสื่อสารยุคใหม่กำลังเติบโต จึงทำให้แกลาออกจากตำรวจมาประกอบธุรกิจอย่างเต็มตัว และมั่งคั่งร่ำรวยอย่างรวดเร็ว กระทั่งเข้ามาเซ้งพรรคพลังธรรมโดยหวังจะใช้ “แบรนด์เนม” ของพรรคนี้สร้างความยิ่งใหญ่ให้กับตนเอง แต่เมื่อไม่เป็นไปตามที่มุ่งหวังจึงได้คิดแบบ “ทุนนิยมสามานย์” ว่าธุรกิจที่จะอยู่รอดต้องมีขนาดใหญ่มากๆ ด้วยการควบรวมศัตรูคู่แข่งที่รวมถึงกิจการเล็กๆ น้อยๆ ที่จะมาเสริมธุรกิจ อันเป็นที่มาของการ “กลืน” พรรคต่างๆ หลังการเลือกตั้งปี 2544

จากนั้นมหกรรมในการคอร์รัปชั่นก็บังเกิดโดยนักการเมืองตระกูลนี้ ทั้งอภิมหาโปรเจกต์ที่เรียกว่าการคอร์รัปชั่นเชิงนโยบาย และอภิมหามอมเมาที่เรียกว่าประชานิยม แม้เจ้าตัวจะระเห็จหนีคดีไปอยู่นอกประเทศ แต่ก็ยังแสดงศักดาเดชและถ่มน้ำลายเพาะเลี้ยงกระสือแห่งการคอร์รัปชั่นนี้ไว้ให้กับบริวารอีกเป็นจำนวนมาก โดยเชื่อมรกรากฝากกรรมพันธุ์แห่งการคดโกงนี้ไว้กับน้องสาว ให้เป็นหัวหน้านำการล่าล้างผลาญทรัพย์ของแผ่นดินให้มากยิ่งขึ้นกว่าเดิม ด้วยความเหิมเกริมถึงขนาดแก้กฎหมายไม่เอาผิดให้กับการคอร์รัปชั่น พร้อมกับคิดเรื่องอภิมหาโกงกินด้วยการออกกฎหมายสร้างหนี้ให้กับคนไทยอีก 2 ล้านล้านบาท ดีที่ว่าศาลรัฐธรรมนูญท่านไม่เห็นด้วย

ถ้าจำไม่ผิด ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย เคยเรียกการกระทำแบบนี้ว่า “ไม่อายชั่ว ไม่กลัวบาป” ซึ่งก็คงมาจากหลักธรรมข้อหนึ่งในศาสนาพุทธที่ประกอบด้วย “หิริ” และ “โอตตัปปะ” อันเป็นธรรมที่จะทำให้สง่างาม ดังนั้นคนที่ไม่มีหิริโอตตัปปะจึง “น่าเกลียด” และ “น่ากลัว” ที่สุด เพราะหมดสิ้นความสง่างามและชั่วช้าอย่างที่สุด อย่าว่าแต่จะนับถือกันในฐานะผู้นำเลย แม้ในฐานะมนุษย์ก็ยังไม่อาจจะนับเข้าเป็นพวก หรือแม้แต่เดรัจฉานก็ยังน่าเกลียดน่ากลัวน้อยกว่า

การผลาญชาติของคนตระกูลนี้ทำได้จนถึงขั้นที่ร่วมมือ “คนชาติอื่น” มาร่วมผลาญพี่น้องคนไทยให้ย่ำแย่ลงไปอีก อย่างคดีความต่างๆ ที่ได้พิจารณาไว้โดย คตส.และกำลังรอการตัดสินของศาลอยู่ในขณะนี้ จำนวนหนึ่งมีมูลชี้ว่าได้สมคบกับบางประเทศเพื่อเอาผลประโยชน์ของชาติไปแลกเปลี่ยนมาเป็นผลประโยชน์ของวงศ์ตระกูล ถึงขั้นเจียดงบประมาณในประเทศไปช่วย หรือการยกดินแดนที่บรรพบุรุษได้ต่อสู้มา แลกกับธุรกิจของครอบครัวอย่างหน้าด้านๆ

วันก่อนผู้เขียนได้ไปเป็นพยานให้แก่คนไทยที่กำลังถูกขอตัวไปพิจารณาโทษที่อินเดียในฐานะ “ผู้ก่อการร้าย” โดยทราบจากทนายของคนไทยนี้ว่า คนของเรากำลังจะตกเป็นเหยื่อของนักการเมืองตระกูลหนึ่ง โดยอินเดียที่กำลังมีเรื่องระหองระแหงกับจีนได้สร้างเรื่องว่ามีการค้าขายอาวุธจากจีนให้กับคนกลุ่มน้อยแถวแคว้นอัสสัม และมีคนไทยร่วมด้วยจึงขอให้รัฐบาลไทยรีบส่งตัวให้เสียโดยดี โดยตกลงจะให้คนบางตระกูลไปค้าขายและลงทุนในอินเดียได้อย่างสะดวกโยธิน

ขายทั้งชาติ ขายทั้งคนไทย มันเลวยิ่งกว่าการก่อการร้าย เพราะมัน “ก่อการชั่ว”