เปิดใจไฮโซนกหวีด"ธนัตถ์ ธนากิจอำนวย"
จริยธรรมของคนมันเริ่มลดน้อยลง คิดว่าโกงนิดโกงหน่อยไม่เป็นไร ชาวบ้านเขาก็ทำกัน นิสัยแบบนี้มันมาจากระบอบทักษิณ
เรื่อง...อินทรชัย พานิชกุล / ภาพ...กิจจา อภิชนรจเรข
หลังคลิปบุกเป่านกหวีดไล่นายกิติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรักษาการณ์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในสนามฟุตบอล กลายเป็นข่าวดังกระหึ่มเมือง คำถามที่ว่าหนุ่มหน้าหยก ปากกล้า ใจถึงในคลิปคนนี้เป็นใครมาจากไหนก็เป็นหัวข้อทอล์คที่ดังไม่แพ้กัน
เขาคือ ธนัตถ์ ธนากิจอำนวย หรือลูกนัท ลูกชายของ กิตติ ธนากิจอำนวย มหาเศรษฐีหมื่นล้านแห่งบริษัท โนเบิลดีเวลลอปเมนท์ จำกัด หลานรักของคุณตา ดร.อำนวย วีรวรรณ เป็นคนเดียวกับที่เคยสร้างความฮือฮาแก่วงการมอเตอร์สปอร์ตด้วยการนำรถเฟอร์รารีลงสนามแข่ง เป็นคนเดียวกับไฮโซหนุ่มที่เมาท์กันให้แซ่ดว่าดาราสาวอย่าง ผิง-พิมพาภรณ์ ลีนุตพงษ์ และ แพง- ขวัญข้าว เศวตวิมล ถึงขั้นเปิดศึกแย่งชิง อีกทั้งยังเป็นคนเดียวที่เคยตกเป็นข่าวว่าขับรถปอร์เช่พุ่งเข้าใส่ม็อบคนเสื้อแดงที่ชุมนุมปิดล้อมแยกราชประสงค์เมื่อปี 2553
วันนี้ ธนัตถ์ทิ้งชีวิตหรูหราสุขสบาย กระโจนลงมาร่วมต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับมวลมหาประชาชนอยู่บนถนน แจ้งเกิดในฐานะดาวเด่นดวงใหม่ของกปปส.
วีรกรรมเป่านกหวีดไล่"โต้ง"
ธนัตถ์เล่าถึงวีรกรรมเป่านกหวีดสะท้านเมืองว่าเขาไม่มีวันยอมให้คนแบบนี้มีที่ยืนในสังคมอีกต่อไป
"มันเป็นนโยบายของกปปส. ว่าเราจะทำการเป่านกหวีดไล่ทรราช ไม่ว่าจะเป็นสส. รัฐมนตรี หรือใครก็ตามที่รับใช้ระบอบทักษิณอย่างชัดเจน ทำความเสียหายให้แก่ชาติบ้านเมือง ซึ่งคุณกิตติรัตน์ก็ได้ทำอย่างจริงจังมาก ในฐานะเป็นรัฐมนตรีกระทรวงการคลัง โกหกต่างๆนานาเรื่องโครงการรับจำนำข้าว ดังนั้นถ้าเจอเมื่อไหร่ เราก็จะไปเป่านกหวีดไล่ให้เกิดความอับอาย เกิดความละอายใจ เกิดความคิดขึ้นได้บ้าง
ผมทราบมาว่าคุณกิตติรัตน์มีกิจกรรมเตะฟุตบอลที่สโมสรโปโลคลับเป็นประจำอยู่แล้ว แต่เราก็ไม่คิดว่าในช่วงที่บ้านเมืองกำลังย่ำแย่แบบนี้ เขายังจะมา ปรากฏว่าก็ยังมาเป็นประจำอยู่ ผมก็เลยคิดว่าต่อให้มันมีโอกาสแค่ 0.1 % ที่เขาจะมา ผมก็จะไป ที่สโมสรโปโลคลับนั้นผมเองก็เป็นสมาชิกอยู่แล้วด้วย
วันนั้น มีแค่ผมกับดร.กล้วย และทีมงานแค่ไม่ถึงสิบคน ผมก็ไปนั่งทานข้าวรอ ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็เจอคุณกิติรัตน์เข้า เลยให้ทีมงานช่วยถือกล้อง ถ่ายคลิป แล้วก็ช่วยกันเข้าไปเป่านกหวีดไล่ในสนามบอลเลย โดยผมเองก็ใช้คำพูดที่สุภาพอย่างที่เห็นในคลิป แต่ฝั่งโน้นเขาตอบกลับมาด้วยถ้อยคำหยาบคาย มีการผลักนู่นผลักนี่ ผมก็เป่าต่อไปไม่สน อยากผลักก็ผลักไป คือมันรู้สึกว่าเหตุการณ์บ้านเมืองไม่ปกติแบบนี้ ชาวนาฆ่าตัวตายกันเป็นโหล ประชาชนเดือดร้อน ต้องทิ้งบ้านออกมาชุมนุม รัฐมนตรีกระทรวงการคลังคนนี้ก็เห็นคนที่หนึ่งในสาเหตุที่ทำให้คนเหล่านั้นต้องเกิดความเดือดร้อน แต่กลับมาเตะบอลสบายใจเฉิบ เรายอมรับไม่ได้ ฉะนั้นอย่าหวังเลยว่าจะใช้ชีวิตได้อย่างสบายใจ"
ขับปอร์เช่พุ่งชนคนเสื้อแดง แค่เรื่องบังเอิญ
เพียงชั่วข้ามคืน ความกล้า บ้าบิ่นของไฮโซหนุ่มในครั้งนี้ กลายเป็นทอล์ก ออฟ เดอะ ทาวน์ คลิปวีดีโอดังกล่าวถูกแชร์ว่อนเน็ต เรียกเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างล้นหลาม หลายคนถึงขั้นขุดคุ้ยประวัติว่าเขาเป็นใครมาจากไหน บางคนถึงกับโยงไปถึงเหตุการณ์ที่เขาเคยขับรถปอร์เช่พุ่งชนม็อบคนเสื้อแดงที่แยกราชประสงค์ เมื่อปี 2553
ธนัตถ์หัวเราะ ก่อนเผยว่าเหตุการณ์ครั้งนั้นไม่ใช่ความจงใจ แต่เป็นเรื่องบังเอิญ
"ไม่ได้ตั้งใจจริงๆ (น้ำเสียงซีเรียส) พอดีว่าบ้านผมอยู่ซอยต้นสน แล้วตรงบริเวณนั้นเป็นสี่แยกตรงโรงเรียนมาแตร์เดอีเพื่อไปแยกราชประสงค์ มันเป็นทางกลับบ้านผม บังเอิญว่ามีการชุมนุม ผมเลยเข้าไปติดอยู่ในนั้นและพยายามหาทางออก โดยเลี้ยวตามคันอื่นไป แต่อาจจะซวยว่าช่วงนั้นแกนนำเสื้อแดงกำลังเรื่องชนชั้น อำมาตย์-ไพร่มาเล่น ทำให้คนเสื้อแดงอาจมีจิตใจคับแค้นคนที่มีฐานะ พูดง่ายๆคือคนรวย รถปอร์เช่มันก็ราคาไม่ถูก แน่นอนว่ามวลชนที่ปลุกขึ้นมาด้วยความโกรธเคือง เคียดแค้น ภายใต้ความคิดที่ว่าคนกรุงคือคนรวย เอาเปรียบคนจน พอผมเข้าไปอยู่ตรงนั้นก็ซวยแล้ว ท่าไม่ดีแล้ว
ตอนนั้นเห็นว่ามอเตอร์ไซค์หรือสามล้อเขาวิ่งบนฟุตบาท พื้นที่ความกว้างมันก็ใหญ่พอสมควร คิดว่าน่าจะเลาะออกไปได้ พอขึ้นไปเท่านั้นแหละ พวกเขาก็เข้ามารุมทุบรถเลย ผมก็ต้องขับหนี ชนข้าวของ รถที่จอดไว้เสียหาย ไม่มีคนเจ็บ สุดท้ายก็ไปไม่รอด เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องมาพาตัวออกไปก็โดนตุ้บๆตั้บๆนิดหน่อย ถึงสน.ลุมพินี เราก็ยินดีชดใช้ค่าเสียหายทั้งหมด คนเสื้อแดงที่ทรัพย์สินเสียหายก็พูดจาสุภาพ คุยกันอย่างดี เหมือนกับคดีอุบัติเหตุบนท้องถนนทั่วไป
ถามว่าฝังใจมาถึงทุกวันนี้ไหม พูดตรงๆก็ต้องบอกว่าผมไม่ชอบกลุ่มคนที่เรียกตัวเองว่านปช. หรือคนเสื้อแดง ไม่ใช่เพราะเรื่องที่มารุมทำร้ายหรือทุบผมวันนั้นนะ แต่เป็นเพราะเรื่องของการออกมาชุมนุมให้การสนับสนุนทักษิณ เผาบ้านเผาเมือง จะแบ่งแยกประเทศชาติ โดยเฉพาะเรื่องที่ผมยอมรับไม่ได้เลยคือต่อต้านสถาบันพระมหากษัตริย์"
ไม่เอา"ระบอบทักษิณ"
สาเหตุของการตัดสินใจออกมาร่วมชุมนุมทางการเมืองในครั้งนี้ ธนัตถ์ตอบอย่างรวดเร็วว่ามาจากความชั่วช้าสามานย์ของระบบทักษิณล้วนๆ
"ผมเพิ่งมามีส่วนร่วมชุมนุมทางการเมืองเป็นครั้งแรก เราเองก็เป็นคนไทย เกิดอะไรขึ้นกับชาติบ้านเมือง ก็ต้องห่วงใยเป็นธรรมดา เราก็ต้องติดตามข่าวสารคอยดูว่าเกิดอะไรขึ้น ตั้งแต่การบริหารจัดการสถานการณ์ช่วงน้ำท่วมปี 54 ไล่ มาถึงโครงการรับจำนำข้าว เงินกู้สองล้านล้านบาท พวกนี้มันเป็นนโยบายประหลาดๆที่ผมคิดว่ามันมาแล้วเละแน่ พังแน่ๆประเทศเรา
สมัยที่ผมยังเป็นวัยรุ่นกำลังเรียนหนังสืออยู่ในต่างประเทศ ช่วงที่คุณทักษิณ ชินวัตรเป็นนายกรัฐมนตรีดูเหมือนจะดี แต่ไปๆมาๆก็โกง จนเกิดการปฏิวัติของทหาร แม้เราไม่ทราบข้อมูลข้อเท็จจริง แต่ที่แน่ๆถ้าไม่เลวจริงอยู่ดีๆทหารเขาคงไม่ออกมาปฏิวัติ มันต้องเรื่องที่สำคัญมากๆ อย่างเช่นเรื่องที่เขาคิดจะล้มล้างระบอบสถาบันพระมหากษัตริย์ เรารับไม่ได้
ถามว่าระบอบทักษิณมีความเลวร้ายยังไง ส่วนตัวผมคิดว่ามีนักวิชาการหรือนักการเมืองหลายคนที่สามารถให้คำตอบได้ดีกว่านี้ แต่ในฐานะที่ผมเป็นคนรุ่นใหม่ สิ่งที่เห็นและรับรู้ได้ในปัจจุบันคือความเสื่อมเสียทางค่านิยม วัฒนธรรม จรรยาบรรณของคนรุ่นใหม่ยุคนี้ เมื่อก่อนคนรุ่นพ่อรุ่นแม่ต้องทำงานหนักเพื่อที่จะได้มาซึ่งชีวิตที่ดี สะดวกสบายหรูหรา อย่างคุณพ่อผมเมื่อก่อนก็ไม่รวย แต่ท่านศึกษาเยอะ อ่านเยอะ ขยันทำธุรกิจ จนกระทั่งทุกวันนี้มีเงิน มันเป็นวิธีที่คนสมัยก่อนเขาทำกัน แต่สมัยนี้บางคนกลับมาคิดกันง่ายๆว่าแค่มีเส้นมีสาย รู้จักผู้ใหญ่ แป๊บเดียวก็รวย คนรุ่นผมถ้าอยากมีเงิน มีรถสปอร์ต มีชีวิตหรูหรา แทนที่จะขยันทำงานขยันเรียน สร้างฐานะสร้างชื่อเสียง กลับกลายเป็นว่าขยันหาเส้นหาสาย มีเพื่อนเป็นคนใหญ่คนโต ใช้เส้นสายทางการเมือง หวังรวยทางลัด แต่ไม่คิดที่จะขยันหาเงิน
สิ่งที่สำคัญที่คุณพ่อผมสอนคือมันไม่สำคัญว่าสุดท้ายเราจะรวยหรือว่าจะยังไงก็ตาม แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือที่มาของความรวย ที่มาของความสำเร็จ อันนั้นแหละที่สำคัญ เป็นเรื่องที่สุดท้ายแล้วเราจะสามารถเอาไปโชว์ชาวบ้านได้ ไม่ได้อยู่ดีดีมีเงินมาจากไหนไม่รู้ เป็นพันล้าน ถึงมันจะได้ความเท่ในจำนวนแต่มันก็ไม่น่าภูมิใจ และสุดท้ายจริยธรรมของคนมันก็จะเริ่มลดน้อยลงไป คิดว่าโกงนิดโกงหน่อยไม่เป็นไร ชาวบ้านเขาก็ทำกัน นิสัยแบบนี้มันมาจากระบอบทักษิณ ไอ้การทำทุกวิถีทางโดยไม่สนเรื่องความถูกต้องดีงาม ให้คนซูฮก ยอมเป็นลิ่วล้อ มาเป็นพวกเขาแล้วจะได้ทุกอย่าง ได้ร่ำรวย ได้มีชีวิตก็ดี สังคมเราตอนนี้มันน่าเป็นห่วงมาก"
เมื่อทายาทเศรษฐีมาเป็นนักสู้ข้างถนน
อาจจะเรียกได้ว่าการต่อสู้ครั้งนี้ ธนัตถ์เอาทุกอย่างเป็นเดิมพันก็ไม่ผิดนัก แม้จะเป็นการออกมาชุมนุมทางการเมืองครั้งแรกในชีวิต แต่เขาทุ่มเทหมดตัวหมดใจ ทั้งชื่อเสียง เงินทอง เรี่ยวแรง และเวลา
"ตั้งแต่วันแรก 31 ต.ค.2556 ที่สามเสน ช่วงนั้นกำลังต่อต้านเรื่องพ.ร.บ.นิรโทษกรรม ผมก็ไปในฐานะของผู้ชุมนุมทั่วไป ก็เดินไปนู่นไปนี่ บังเอิญไปเจอคุณพนิช วิกิตเศรษฐ์ อดีตส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นเพื่อนคุณพ่อ และลูกสาวกำนันสุเทพ เทือกสุบรรณ คุณเข็ม-ธีราภา พร้อมพันธุ์ รุ่นพี่ผมสมัยเรียนอยู่ที่อังกฤษ เขาก็ชักชวนเราให้เข้ามาหลังเวที จนได้รู้จักคนนั้นคนนี้ ด้วยความที่เราไฮเปอร์ เราก็ถามไปเรื่อยว่ามีอะไรให้ช่วยไหม ก็ได้หิ้วน้ำ ยกน้ำ แจกของ เป็นอาสาสมัครมากกว่าไม่ใช่สตาฟฟ์ ไม่มีบัตรห้อยคออะไรทั้งนั้น
หลังจากนั้นก็ได้ไปช่วยงานในม็อบกระทรวงการคลัง ช่วงนั้นคนน้อยน่าเป็นห่วงมาก ผมก็อาสาไปอยู่เวรกลางคืนตั้งแต่หัวค่ำยันเช้า อากาศมันดี เราก็เอากระสอบมาปูนอนบนถนนนั่นแหละ พอตื่นมาพบว่ามีคนเอาผ้าห่มมาห่มให้ รู้ทีหลังว่าเป็นคุณวิทยา แก้วภาราดัย ท่านเห็นว่าผมยังหนุ่ม มีเรี่ยวมีแรงเยอะ ก็เลยรับเข้าไปทำงานอยู่ในทีมด้วย
พอเริ่มได้เข้าวงในจริงๆ ผมก็ได้ก้าวขึ้นไปบนรถที่มีเครื่องเสียงเป็นของตัวเอง รถหกล้อบ้าง กระบะบ้าง ภารกิจหลักๆของเราก็จะนำรถพามวลชนออกไปเรียกร้องตามสถานที่ราชการต่างๆที่มีลิ่วล้อบริวารของตระกูลชินวัตรทำงาน หรือบริษัทท่อน้ำเลี้ยงอะไรก็ตาม เราจะเคลื่อนไหวกันตลอด ตามที่ได้รับมอบหมายจากทางแกนนำ ช่วงนั้นเองก็เริ่มมีมวลชนรู้จัก หลายคนเข้ามาชื่นชมจับไม้จับมือ หลายคนก็เรียกผมว่าแกนนำด้วยซ้ำ ผมเองก็ถือว่าเป็นศัพท์ที่ทรงเกียรติมาก ทั้งที่หน้าที่มันไม่ใช่หรอก"เขาหัวเราะอย่างเขินๆ
บทเรียนชีวิตที่หาจากไหนไม่ได้
ธนัตถ์บอกด้วยสีหน้าจริงจังว่าการได้เข้ามาร่วมต่อสู้บนท้องถนนร่วมกับมวลมหาประชาชน ทำให้เขาได้พบเห็นอะไรมากมายอย่างที่ไม่เคยคิดมาก่อนว่าชาตินี้จะได้สัมผัส
"ผมได้กินนอนข้างถนนกับพี่น้องมวลชน ได้แชร์ข้าวกล่อง แชร์ผ้าห่ม แชร์ความคิดกัน ผมแปลกใจมากที่มวลชนหรือชาวบ้านเขามีความรู้ในเรื่องการเมืองมาก และก็เป็นความรู้ที่ถูกต้องด้วย ทั้งชื่อทั้งตัวเลขนี่เป๊ะ รู้เยอะว่านักศึกษามหาลัย หรือว่าไฮโซหลายๆคนเสียอีก
ผมถือว่าตัวเองแค่ระดับเด็กอนุบาลเมื่อเทียบกับความเสียสละของพี่น้องมวลชน เขาเสียสละกว่าผมมาก ช่วงที่เราเดินรณรงค์ปิดกรุงเทพวันละหลายสิบกิโล ผมเดินบ้าง เหนื่อยผมก็ขึ้นไปพูดบนรถ ซึ่งเหล่ามวลชนเขาเดินกันตลอด เดินทุกวัน บางทีเราเองยังต้องกลับบ้าน แต่พวกเขายังคงอยู่กันตลอด บ้านเราก็มีคนดูแล แต่บ้านของมวลมหาประชาชนเหล่านั้นเขาไม่มี ออกมาแล้วโจรอาจจะปล้น หรือใครจะเข้ามาทำอะไรลูกหลานเขาก็ได้ มีมวลชนที่ทิ้งบ้านมาอยู่กับเรา แต่พวกเขาก็ยังยืนยันที่จะต่อสู่ต่อไป ชาวบ้านบางคนบอกผมว่าเขาทำอะไรไม่ได้กับสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้ว สิ่งที่ทำได้ดีที่สุดก็คือการออกมาต่อสู้ นี่คือเหตุผลการเสียสละจริงๆ
ตั้งแต่วันแรกจนถึงทุกวันนี้ ทุกวันในการต่อสู้กับมวลมหาประชาชนถือเป็นบทเรียนชีวิตที่มีค่ามากที่สุด ตลอดชีวิตของผม ไม่เคยมีอะไรที่อยากทำแล้วไม่ได้ทำ ผมคิดว่าตัวเองแน่ เคยเจออะไรมาเยอะมาก แต่พอมาเจอที่นี่เรากลายเป็นเด็กอนุบาลไปเลย มันคือชีวิตจริง เหตุการณ์จริง มวลชนเหล่านี้คือของจริง มันทำให้ผมรู้เลยว่าชีวิตที่เราคิดว่าดูดีมาตลอด อย่างใช้ชีวิตหรูหรา ขับรถซิ่ง มีแฟนเป็นดารา กลายเป็นเรื่องไร้สาระมากๆ"
ยก"วิทยา แก้วภาราดัย"เป็นครูทางการเมือง
"นี่เป็นครั้งแรกที่ได้มีเจ้านายที่ไม่ใช่พ่อ แล้วผมเองก็รู้สึกดีมาก ก่อนหน้านี้ด้วยความว่าที่บ้านทำธุรกิจส่วนตัว คุณพ่อเป็นเจ้าของบริษัท ไม่คิดว่าชาตินี้จำเป็นจะต้องมีเจ้านาย ไม่คิดว่าจะต้องฟังคำสั่งใคร ทุกวันนี้ผมรู้สึกภูมิใจที่ ผมมีเจ้านายอย่างท่านวิทยา แก้วภราดัย ซึ่งผมเรียกว่าท่านนี้เป็นการให้เกียรติ ไม่ใช่เพราะเป็นคำศัพท์ทางการเมือง
บางทีเราไปขอคำปรึกษาจากท่าน เรื่องที่จะไปปราศรัยที่นั่นที่นี่ ผมคิดว่าจะพูดแบบนี้ พอปรึกษาท่าน ท่านก็จะแก้ไขให้เรานิดหน่อย ช่วยให้เรามองเห็นความชัดเจนมากขึ้น แสดงให้เห็นถึงประสบการณ์ของความเป็นผู้ใหญ่ ท่านวิทยาเห็นเงียบๆแบบนี้ แต่พอได้พูดขึ้นมาทีนึง ผมว่ามันเป็นอะไรที่สุดยอด เป็นคำพูดที่มันมีชัดเจนทั้งความรู้สึก คมคายทั้งความคิด
ท่านวิทยาให้โอกาสผมได้เติบโต ให้โอกาสในการต่อสู้ ให้ประสบการณ์ ทั้งยังได้อบรมสั่งสอนผมเหมือนพ่ออีกคนหนึ่ง ผมรู้สึกตื้นตันใจว่าคนที่เขาไม่ได้เป็นอะไรกันกับเรา แต่สามารถให้สอนเราได้มากขนาดนี้ เปรียบเหมือนเป็นครูทางการเมืองเลย"
น้ำเสียงของเขาดูปลาบปลื้ม ยามที่ได้พูดถึงไอดอลในดวงใจ
"การ์ด"คีย์แมนสำคัญผู้เบื้องหลัง
ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ประสบการณ์ร่วมทุกข์ฟันฝ่าอุปสรรคบนท้องถนนนานกว่าหลายเดือน ทำให้ธนัตถ์มั่นใจว่าถ้าจะยกความดีความชอบให้ใครสักคน คนๆนั้นต้องมีทีมงานผู้ทำหน้าที่การ์ดดูแลรักษาความปลอดภัยแก่เขาและกลุ่มกปปส.รวมอยู่ด้วย
"ช่วงที่ผมเริ่มทำงานให้ท่านวิทยาก็เริ่มมีคนรู้จัก มีคนมองเห็น จู่ๆก็มีชายวัยกลางคนกลุ่มคนหนึ่งเดินมาบอกว่าคุณธนัตครับ ผมอยากอยู่กับครับ หลายคนบอกว่าไว้ใจได้เหรอ ผมเลยบอกว่าช่วงนี้แหละที่ต้องไว้ใจกัน ต้องใช้ใจแลกใจ ถ้าเราคิดผิด โดนเขาหลอก หรือเป็นสายอะไรก็เถอะ ก็ถือว่าเราซวยแล้วกัน แต่นับจากวันนั้นจนถึงวันนี้ กิน นอน ทำงานด้วยกันแทบจะตลอด 24 ชั่วโมง มันได้พิสูจน์แล้วว่าการ์ดชุดนี้ของผมดีที่สุดแล้ว ใครจะว่าไงผมไม่รู้ แต่ผมจะไม่เอาการ์ดชุดไหนมาแลกกับการ์ดชุดนี้ของผมอีกแล้ว
ต้องบอกว่ากปปส.เนี่ยไม่ใช่องค์กรที่ยิ่งใหญ่ ใครจะทำอะไรก็ต้องจัดการหาเอาเอง การ์ดของผมเขามีคอนเน็กชั่นที่สุดยอดเลย อยากได้รถเครื่องเสียง ก็หาได้ อยากได้ข้อมูลก็ได้ เขาสามารถหาให้ผมได้ทุกอย่าง ทุกคนอายุมากกว่าผมทั้งนั้น บางทีเขาก็จะเป็นพี่เลี้ยง เป็นบอดี้การ์ด เป็นพ่อครัว คอยดูแล ตักเตือนในเวลาที่เราทำไม่ถูก เขาก็จะบอกว่าเราในหลายๆเรื่อง เพราะบางทีผมเองก็อารมณ์ร้อน อารมณ์เสีย บางทีอยากจะทำอะไรไม่ค่อยจะคำนึงถึงความปลอดภัยของตัวเอง เขาก็จะคอยบอกให้เราใจเย็นๆ แนะนำว่าที่ไหนไม่ควรไป บางทีผมไม่สบายก็ไปซื้อโจ๊กมาให้
คนที่มาเป็นการ์ดต้องเป็นคนที่เสียสละมากๆ การ์ดเป็นอาชีพที่ต้องมีความอดทนมาก อะไรแย่ๆก็โทษเขา รับไปเต็มๆ แต่อะไรที่ดีก็ไม่ค่อยมีคนเข้ามาชมเขาหรอก แต่พอที่มีอะไรไม่ดีเข้าการ์ดกลับต้องรับเต็มๆ ผมว่าต้องให้เครดิตเขา"
อนาคตกับเส้นทางนักการเมืองหนุ่ม
ถามว่าในอนาคตสนใจอยากทำงานด้านการเมืองแบบเต็มตัวไหม ธนัตถ์ยิ้ม ก่อนตอบว่าโอกาสที่จะเห็นเขาในบทบาทของนักการเมืองนั้น เขายินดีหากได้รับการชักชวนและสนับสนุนจากผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือ
"ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีความสนใจทางอาชีพด้านการเมืองเลยแม้แต่นิดเดียว คือเราอยากรวย เราก็ต้องเรียน ต้องขยันทำธุรกิจ แต่การจะเป็นนักการเมืองที่ดีนั้นมันไม่รวย ถ้าไม่โกงคือมันไม่รวย เพราะฉะนั้นเราไม่โกง เราเล่นการเมืองไปเราก็คงไม่รวย
แต่บัดนี้ผมได้เห็นอะไรหลายๆอย่างที่คิดว่ามีเงินเยอะไปก็เท่านั้น ก่อนหน้านี้คนอาจจะชื่นชมผมว่าเป็นนักแข่งรถคนแรกในรายการแข่งรถประเทศไทยที่เอารถเฟอร์รารี่มาแข่ง หรือทำอู่ซ่อมรถ มีคลังรถคลาสสสิคของตัวเอง มีแฟนเป็นดารา ซึ่งทั้งหมดนั้นช่างไร้สาระ ตอนนี้ผมเห็นแล้วว่าการให้ การทำเพื่อมวลมหาประชาชนมันมีค่าแค่ไหน กลายเป็นคนที่มีคนให้เกียรติ มีคนชื่นชมในสิ่งที่เราทำ
ไม่แน่นะ ถ้าถึงเวลาที่เรามีวุฒิภาวะ ในวันที่การเมืองปฏิรูปไปแล้ว ยังมีที่ที่ต้องการคนอย่างผมมาช่วยทำงาน ผมเองก็ยินดี แต่ผมคงไม่เรียกร้องอะไร ถ้ามีผู้ใหญ่มาชวนและให้โอกาสผม ผมก็จะมองว่าเป็นเกียรติอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นสภาปฏิรูป หรือสภาผู้แทนราษฎร หรือตำแหน่งอะไรก็ได้ที่ผู้ใหญ่เห็นว่าเป็นตำแหน่งที่เหมาะกับผมด้วยวัยวุฒิ ประสบการณ์ หรือด้วยอุดมการณ์ เห็นสมควรแล้วว่าจะต้องเป็นผมเข้ามารับหน้าที่อะไรก็ตาม ผมก็ยินดีครับ"