ยุทธการเชือดเงินป่วนเมือง

24 พฤษภาคม 2553

ยุทธการของศอฉ. ในการตัดเส้นทางการเงินของเครือข่ายเสื้อแดง 3 ระลอก เบ็ดเสร็จ 170 ราย ถือเป็นมาตรการที่สอง ต่อจากมาตรการทางทหาร!

ยุทธการของศอฉ. ในการตัดเส้นทางการเงินของเครือข่ายเสื้อแดง 3 ระลอก เบ็ดเสร็จ 170 ราย ถือเป็นมาตรการที่สอง ต่อจากมาตรการทางทหาร!

โดย...ทีมข่าวการเงิน

ยุทธการของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ในการตัดเส้นทางการเงินของเครือข่ายเสื้อแดง 3 ระลอก เบ็ดเสร็จ 170 ราย ถือเป็นมาตรการที่สอง ต่อจากมาตรการทางทหาร!

เริ่มจากครั้งแรกเมื่อ 16 พ.ค. ศอฉ.สั่งห้ามให้สถาบันการเงินทำธุรกรรมกับนิติบุคคลและบุคคลธรรมดา 106 ราย ครั้งที่สอง 43 ราย และครั้งล่าสุดอีก 21 ราย

เงื่อนไขสำคัญคือห้าม “บัญชีดำ” ทั้งหมดเคลื่อนไหวทางการเงิน และให้ธนาคารพาณิชย์ส่งธุรกรรมย้อนหลัง 9 เดือน ตั้งแต่ 1 ก.ย. 2552-17 พ.ค. 2553

ถือเป็นยุทธการ “ตลบหลัง” ที่เจ็บแสบ และเป็นการ “ตอบโต้” ที่สมน้ำสมเนื้อกับกระบวนการเสื้อแดงของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี

ถือว่าเป็นปฏิบัติการเงียบเชียบแต่หนักหน่วง...

 

ยุทธการเชือดเงินป่วนเมือง

แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า เส้นทางการเงินทั้งหมดที่ถูกหยิบขึ้นมาตามประกาศของ ศอฉ. ถูกตรวจสอบพบความเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ ซึ่งทางสำนักข่าวกรองแห่งชาติได้รายงานมายัง ศอฉ.ตลอดเวลา

ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีนักธุรกิจและเครือข่ายกลุ่มเสื้อแดงบางรายที่มีการหยิบยกขึ้นมาในที่ประชุม ศอฉ. และขอให้มีการดำเนินการสกัดเส้นทางการเงินทันที

“มีความเคลื่อนไหวทางการเงินจากบัญชีที่เกี่ยวข้อง ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาถึง 2 หมื่นล้านบาท บางบัญชีมีการเบิกถอนครั้งเดียวถึง 800 ล้านบาท ซึ่งเป็นเรื่องที่ผิดปกติมาก” แหล่งข่าวระบุ

แน่นอนว่า เงินสดที่สะพัดออกไปกว่า 2 หมื่นล้านบาทนั้น ส่วนหนึ่งไม่ใช่แค่การจ่ายเงินให้แกนนำเท่านั้น แต่ยังรวมถึงค่าใช้จ่ายในการจัดเกณฑ์คนมาชุมนุมจากทั่วประเทศ ค่าบริหารจัดการเวที และค่าจ้าง กลุ่มฮาร์ดคอร์

จึงไม่แปลกใจต่อข่าวที่เล็ดลอดออกมาก่อนหน้านี้ว่า แกนนำ 1 คนที่ขึ้นเวที จะได้รับค่าจ้างคืนละ 1 แสนบาท

และไม่ต้องแปลกใจว่าค่าจ้างในการเกณฑ์ผู้มาชุมนุมส่วนหนึ่งในระยะหลัง ต้องเพิ่มเม็ดเงินเป็นวันละ 1,000-2,000 บาท เนื่องจากการชุมนุมมีความเสี่ยงมากขึ้น

โดยนายจรัล ดิษฐาอภิชัย หนึ่งในแกนนำ ยอมรับว่า พ.ต.ท.ทักษิณ และนางสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ อดีต สส.พรรคไทยรักไทย คือผู้สนับสนุนเงินให้ นปช.

ทั้งนี้ รายชื่อบัญชีดำทั้ง 170 ราย แบ่งเป็น 5 กลุ่มใหญ่ๆ

กลุ่มหนึ่ง คือ กลุ่มบริษัทในเครือชินคอร์ป ของ พ.ต.ท.ทักษิณ และเครือญาติ อาทิ บริษัท ทุนนวัตกรรม บริษัท นิวโอ๊ค บริษัท บี พี พร็อพเพอร์ตี้ บริษัท ประไหมสุหรี พร้อพเพอร์ตี้ บริษัท พี ที คอร์ปอเรชั่น บริษัท เอส ซี เค เอสเทต บริษัท เอส ซี ออฟฟิซ ปาร์ค บริษัท เอสซี ออฟฟิซ พลาซ่า บริษัท โอ เอ ไอ มาร์เก็ตติ้ง บริษัทโอเอไอ คอนซัลแต้นท์แอนด์แมนเนจเม้นท์ บริษัท โอเอไอ แมนเนจเม้นท์ บริษัท โอเอไอ ลีสซิ่ง และบริษัท โอเอไอ เอ็ดดูเคชั่น

ที่สำคัญคือ บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาว พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ถูกอายัดธุรกรรมทางการเงินด้วย

แม้บริษัทจะออกมาปฏิเสธความเกี่ยวข้องกับการเมือง แต่นาทีนี้ดูเหมือนว่ารัฐบาลจะไม่ไว้ใจใครทั้งสิ้น

แถมงานนี้ยังถือเป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว เพราะคดีของเอสซี แอสเสทฯ ยังอยู่ระหว่างการสอบสวนของ ก.ล.ต.อีกด้วย

กลุ่มที่สอง คือ กลุ่มนักการเมืองในเครือข่ายพรรคไทยรักไทย พลังประชาชน และเพื่อไทย

ถุงเงินใหญ่ในกลุ่มนี้ นอกจากนางสุดารัตน์แล้ว ยังมีนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย และเคยขึ้นเวทีคนเสื้อแดง ซึ่งภรรยาของนายพงศ์เทพก็คือผู้ถือหุ้นในโรงแรมเอราวัณ บริเวณแยกราชประสงค์

โดยมีรายงานว่าโรงแรมเอราวัณเป็นจุดที่แกนนำใช้พักผ่อนในตอนกลางคืน และยังถูกสังคมคลางแคลงใจว่าเป็นตึกที่ไม่เกิดเหตุเพลิงไหม้หลังการสลายการชุมนุม ต่างจากเซ็นทรัลเวิลด์และสยามสแควร์ที่ถูกวางเพลิงจนวอดวาย

ที่เหลือยังมีนายการุณ โหสกุล สส.กรุงเทพฯ เขตดอนเมือง ที่ ศอฉ.มีการรายงานข้อมูลว่า นายการุณเป็นคนที่นำการ์ดฮาร์ดคอร์ส่วนหนึ่งมาจากพื้นที่รอบๆ กรุงเทพฯ

นอกจากนั้น สส.อีสานและเหนืออีกกลุ่มหนึ่งก็ถูกแช่แข็งเงินเช่นเดียวกัน อาทิ นายวิเชียร ขาวขำ สส.อุดรธานี นายชูวิทย์ พิทักษ์พรพัลลภ สส.อุบลราชธานี นายไพโรจน์ ตันบรรจง สส.พะเยา นายพีรพันธุ์ พาลุสุข สส.ยโสธร และนายสันติ พร้อมพัฒน์ สส.เพชรบูรณ์ เป็นต้น

กลุ่มที่สาม คือ กลุ่มนักธุรกิจเครือข่าย นปช. หรือมีความสัมพันธ์กับ สส.พรรคเพื่อไทย โดยรายชื่อคนกลุ่มนี้ถือว่าได้รับผลกระทบมากที่สุด เพราะไม่ใช่แค่เรื่องของตัวบุคคลเท่านั้น แต่ผลลัพธ์คือสะเทือนต่อธุรกิจอย่างหนักหน่วง

อย่างนายพันธ์เลิศ ใบหยก เจ้าของกลุ่มใบหยก อดีตรองเลขาธิการพรรคไทยรักไทย

นายพันธ์เลิศมีธุรกิจในเครือ 21 บริษัท กิจการที่เป็นที่รู้จักคือ อาคารใบหยก 1 และใบหยก 2 ซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงแรมใบหยกสวีตและใบหยกสกาย รวมทั้งกิจการห้องเย็นสะพานปลาในภาคใต้ สินทรัพย์รวมกันกว่า 5,000 ล้านบาท

อย่างนายทัศ เชาวนเสถียร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท จีเน็ท อินเตอร์เนชั่นแนล ผู้นำเข้ามือถือจีเน็ท

นายทัศ มองว่า ทาง ศอฉ.เข้าใจคลาดเคลื่อนและเร็วๆ นี้อาจจะมีการชี้แจงอธิบายในเรื่องนี้ เบื้องต้นได้ประสานไปยังสถาบันการเงินพบว่ายังไม่ได้ส่งข้อมูลให้ ศอฉ. เพราะยังไม่พร้อม

ส่วนนายสมหวัง อัสราศี เจ้าของเครื่องใช้ไฟฟ้ามิตซูชิต้า ในอดีตเคยประกาศตัวว่าเป็นสปอนเซอร์ให้กับกลุ่มคนเสื้อแดงที่ใช้ห้างสรรพสินค้าอิมพีเรียลลาดพร้าวเป็นฐานที่มั่นสำคัญ

นายประยุทธ มหากิจศิริ เจ้าพ่อเนสกาแฟ อดีตเคยมีสัมพันธ์ทั้งทางธุรกิจและการเมืองกับรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ แต่ภายหลังถูกเว้นวรรคทางการเมืองก็เงียบหายไป

กลุ่มที่สี่ คือ กลุ่มแกนนำทั้งใน กทม. และต่างจังหวัด ไม่ว่าจะเป็นนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นายจตุพร พรหมพันธุ์ นายจรัล นายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง นายก่อแก้ว พิกุลทอง ซึ่งมีธุรกิจส่วนตัว ล่าสุดออกมายอมรับว่าพร้อมจะรับผิดชอบทางกฎหมาย แต่คงไม่สามารถชดใช้เงินให้ผู้เสียหาย นางดรุณี กฤตบุญญาลัย หรือ “เจ๊ดา” ซึ่งก็ประกอบธุรกิจส่วนตัวเช่นเดียวกันนพ.เหวง โตจิราการ นายวีระ มุสิกพงศ์ นายขวัญชัย ไพรพนา และ พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์ เป็นต้น

กลุ่มที่ห้า คือ กลุ่มที่ ศอฉ.เตรียมที่จะเข้าไปตรวจสอบ เนื่องจากพบความเคลื่อนไหวที่อาจมีนัยสำคัญกับกลุ่มคนเสื้อแดง นั่นคือฐานคนและฐานทุนของกลุ่มวัดพระธรรมกาย เพื่อเปิดสปอตไลต์ให้เห็นเครือข่ายสนับสนุนที่อยู่ในที่มือให้ออกมาในที่แจ้งอย่างกรณีของ นายอนันต์ อัศวโภคิน ประธานกรรมการ บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ซึ่งถูกเอ่ยชื่อในที่ประชุม ศอฉ.ว่าน่าจะมีการเข้าไปตรวจสอบ

ยิ่งมีข่าวลือกระเส็นกระสายเข้ามาว่า นายอนันต์คือหนึ่งในคนที่อยู่ข้างกาย พ.ต.ท.ทักษิณ ที่กรุงปารีส ในช่วงที่เสื้อแดงกำลังชุมนุม

ยิ่งทำให้ ศอฉ.ต้องเฝ้าระวังนักธุรกิจใหญ่รายนี้มาก!!!

อีกทั้ง ศอฉ.ยังพบความเคลื่อนไหวผู้บริหารของกลุ่มวัดพระธรรมกาย ที่เชื่อมโยงกับอดีตนักปั่นหุ้นตัวยง อาจเคยเป็น “เคาน์เตอร์” ทางการเงินให้กับกลุ่มเสื้อแดงด้วย

แต่ปัญหาคือกลุ่มวัดพระธรรมกายเป็นกลุ่มที่เบิกถอนหรือใช้เงินสด การจะตรวจสอบบัญชีในธนาคารพาณิชย์ก็คงไม่พบอะไร

ปฏิบัติการของ ศอฉ.เที่ยวนี้ถือว่าได้พี่เลี้ยงดี มองเกมทะลุปรุโปร่ง

และนี่ถือเป็นเกมที่ฝ่ายเสื้อแดงไม่ได้เตรียมตัวตั้งรับ...

และถือเป็นจุดพลิกผันของสถานการณ์ทางการเมืองที่ไม่มีวันกลับมาเหมือนเดิม

Thailand Web Stat