รำลึกถึงหลวงพ่อคำเขียน สุวณโณ (จบ)

07 กันยายน 2557

หลวงพ่อเป็นพระมหาเถระที่มีความอ่อนน้อมถ่อมตัวมาก อาตมาเห็นอย่างนี้มาตั้งแต่เมื่อ 30 ปีที่แล้ว

หลวงพ่อเป็นพระมหาเถระที่มีความอ่อนน้อมถ่อมตัวมาก อาตมาเห็นอย่างนี้มาตั้งแต่เมื่อ 30 ปีที่แล้ว ไม่ว่ากับญาติโยม กับเณร กับเด็กเล็ก หรือแม้กระทั่งกับธรรมชาติ จนถึงวันสุดท้ายของชีวิตของท่านก็ยังเห็นเช่นนั้นอยู่ไม่เปลี่ยนแปลง อันนี้ไม่ใช่เพราะความเมตตากรุณาของท่านเท่านั้น แต่เป็นเพราะปัญญาของท่านที่ทำให้สามารถรื้อถอนความยึดมั่นถือมั่นในตัวกูของกูได้ จนกระทั่งไม่เป็นอะไรกับอะไร หลวงพ่อไม่ได้เป็นคนที่ถือยศถืออย่าง แม้จะเป็นพระครู แต่สมณศักดิ์ก็แทบไม่มีความหมายกับท่านเลย เมื่อถึงเวลาที่ท่านป่วย ท่านก็ยังสามารถแสดงคุณลักษณะอย่างนี้ให้เราเห็น

การป่วยของท่านครั้งหลังถ้าเป็นคนธรรมดาก็จะต้องทุกข์ทรมานมาก เพราะว่าหลอดอาหารก็ดี หลอดลมก็ดี อุดตันหมด ท่านไม่สามารถฉันอาหารเหมือนคนปกติได้ ต้องรับอาหารทางสายยาง จะหายใจก็ต้องหายใจทางท่อ ซึ่งนอกจากทำให้อึดอัดแล้ว ยังทำให้เกิดทุกขเวทนาด้วย ไม่นับอาการอย่างอื่นที่เกิดจากมะเร็ง แต่หลวงพ่อก็สามารถทรงจิตทรงใจเอาไว้ได้เป็นปกติ อีกทั้งพยายามสอนพวกเราอยู่เสมอ

การที่ท่านไม่สามารถพูดได้ มีข้อเสียมาก แต่ข้อดีก็มี คือทำให้ท่านต้องเขียนบันทึก ช่วยให้เรารับทราบความคิดความรู้สึกของท่านตลอด 7 เดือนที่ท่านอาพาธ ที่ท่านบันทึกนั้นก็ล้วนแล้วแต่มีประโยชน์

อาตมาจะคัดข้อความบางตอนที่ท่านเขียนระหว่างอาพาธให้พวกเราได้ฟังกัน

ท่านบอกว่า

“เวลานี้อยู่กับความไม่เป็นอะไรกับอะไร ลูกศิษย์หลวงพ่อเทียนมีธรรมนำพา ไม่มีวันตาย เราเห็นประสบการณ์ตั้งแต่เห็นรูปนามตามความเป็นจริง ขอให้เราจงพากันปฏิบัติไป จะได้พบเห็นอาการดับไปไม่เหลือของนามรูป 49 ปีที่ผ่านมาคือวันนี้ รู้สึกตัว รู้สึกตัวดี”

ทั้งที่ท่านมีทุกขเวทนามาก แต่นั่นก็เป็นความทุกข์ทางกาย ส่วนจิตใจของหลวงพ่ออาจสุขสบายยิ่งกว่าของพวกเราเสียอีก อันนี้เป็นผลจากประสบการณ์ทางธรรมที่ท่านได้ประจักษ์จากวิปัสสนากรรมฐาน จนกระทั่งเห็นสัจธรรมความจริง ปัญญาดังกล่าวทำให้ท่านสามารถเผชิญกับทุกขเวทนาอย่างยากที่คนธรรมดาจะเผชิญได้ บางครั้งหลวงพ่อก็บอกว่า

“เหนื่อยเพราะโรคพาให้เหนื่อย ส่วนจิตใจก็อยู่กับตถตา ความเป็นเช่นนั้นเอง ไม่ได้เอาความเหนื่อยมาเป็นชีวิตจริง ธรรมนำพาให้อยู่” คือท่านอยู่ด้วยธรรม ไม่ได้อยู่ด้วยความรู้สึก ไม่ได้อยู่ด้วยเวทนา ไม่ได้อยู่ด้วยความอยาก ไม่ได้อยู่ด้วยความกลัว ด้วยความโกรธ ความเกลียด หรือความโลภความหลง แต่อยู่ด้วยธรรม จากนั้นท่านเขียนต่อว่า “บางครั้งก็หายใจไม่ได้ ก็สนุกไปกับความตาย ไม่กลัวตาย”

แล้วท่านทิ้งท้ายว่า “แต่คนอื่นลำบากกับเรา เวลานอนก็อาจไม่ได้นอน” หลวงพ่อเป็นห่วงผู้ที่ดูแลท่านมาก ซึ่งต้องดูแลกันเรียกว่าแทบ 24 ชั่วโมง ตลอด 7 เดือน หลวงพ่อที่จริงทุกข์กว่าพวกเรา แต่ท่านเป็นห่วงลูกศิษย์ที่ดูแลท่านทั้งพระทั้งโยม ว่าแม้แต่เวลานอนก็อาจไม่ได้นอน

หลวงพ่อพูดไม่ได้ แสดงธรรมไม่ได้ด้วยถ้อยคำ แต่ท่านก็แสดงธรรมให้เราเห็น แม้ในยามที่อาพาธ คือการทำให้ดูอยู่ให้เห็น และบางครั้งก็มีเมตตาเขียนบันทึกแทนคำเทศนาหรือคำบรรยายของหลวงพ่อ ซึ่งอาตมาเชื่อว่าเป็นสิ่งที่ล้ำค่ามาก เพราะว่าคำบรรยายหลายครั้งก็ไม่ได้ชัดเจนหรือกระชับเท่านี้ ท่านอาจจะพูดเป็นเวลา 15 นาที แต่ว่าเมื่อท่านอาพาธท่านไม่สามารถเขียนได้ยาว ท่านก็เขียนแบบกระชับ แต่ก็ได้ใจความพอๆ กับคำบรรยาย 15 นาทีหรือครึ่งชั่วโมง ซึ่งน่าจะเป็นแบบอย่าง แบบศึกษาให้กับพวกเรา

หลวงพ่อตระหนักดีว่าอาพาธครั้งนี้คงจะมีความตายเป็นที่สุด คงจะไม่รอด ท่านก็เตรียมตัว พยายามที่จะสั่งเสียร่ำลา หลวงพ่อท่านเขียนไว้ตอนหนึ่งเมื่อ 3 เดือนที่แล้ว

“ขอสั่งลาทุกๆ ท่าน ธาตุขันธ์คงอยู่อีกได้ไม่นาน

แต่ความเป็นกัลยาณมิตรคงอยู่ตลอดไป”

ธาตุขันธ์ของหลวงพ่ออยู่ได้ไม่นาน ตอนนี้ก็แตกสลายแล้วในส่วนรูปธรรม แต่ความเป็นกัลยาณมิตรจะคงอยู่ตลอดไป ขอให้พวกเราตระหนักว่าหลวงพ่อยังอยู่กับเรา ท่านยังเป็นกัลยาณมิตรกับพวกเรา เมื่อใดก็ตามที่เรารู้สึกท้อแท้ท้อถอยหรือมีความทุกข์ ก็ขอให้ระลึกถึงคำพูดที่ว่า ความเป็นกัลยาณมิตรของท่านยังอยู่กับเราตลอดไป หลวงพ่อจะยังเป็นกัลยาณมิตรกับพวกเรา อยู่ที่ว่าพวกเราจะยอมให้ท่านเป็นกัลยาณมิตรกับเราหรือไม่ ถ้ามีสติ มีความรู้สึกตัวก็แสดงว่าหลวงพ่อไม่ได้อยู่ไกลจากเราเลย แต่เมื่อใดก็ตามที่เราไม่มีสติ ไม่มีความรู้สึกตัว จมอยู่ในความหลง ก็เท่ากับว่าเรากีดกันท่านออกไปจากความเป็นกัลยาณมิตรกับเราแล้ว

หลวงพ่อยังพูดอีกตอนหนึ่งว่า

“สั่งลามิตรสหายทุกท่าน ธาตุขันธ์ไม่มีวันที่จะอยู่ได้นาน ขอให้เป็นสติ ปัญญาแทน เป็นปากเป็นเสียงธรรม ตามที่หลวงพ่อเทียนสอน พวกเราถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้จริง” แล้วท่านก็บอกว่า “เวลานี้มีแต่ปล่อยวาง ไม่เป็นอะไรกับอะไร”

อันนี้เป็นคำสั่งเสียที่สำคัญนะ ขอให้พวกเราเป็นสติและปัญญาแทนท่าน ขอให้พวกเราเป็นปากเป็นเสียงแห่งธรรมตามที่หลวงพ่อเทียนสอน และท่านก็ให้ความหวังกับเราว่า “พวกเราถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้จริง” เพราะว่าท่านไปถึงแล้ว ท่านไม่ได้พูดจากการเดาเอาหรือคิดเอา แต่พูดจากการที่ท่านบรรลุถึงด้วยตัวท่านเอง

หลวงพ่อไม่เพียงสอนธรรมให้เราในยามปกติและยามอาพาธ เมื่อท่านละสังขารก็ยังให้ธรรมะที่สอนให้เราได้ตระหนักว่าความตายเป็นธรรมดา มันเป็นเช่นนั้นเอง ตถตา คำถามก็คือ ตายอย่างไรถึงจะตายอย่างสงบ ตายดี ตายอย่างไม่มีผู้ตาย อันนี้ต่างหากที่เป็นการบ้านสำหรับพวกเรา ตอนที่มีชีวิตท่านก็อยู่อย่างสอดคล้องกับธรรม กลมกลืนกับธรรม เมื่อป่วยก็ไม่ทิ้งธรรม เมื่อละสังขารท่านก็ได้ฝากฝังสั่งเสียให้จัดการกับสรีระของท่านอย่างสอดคล้องกับธรรมด้วย

หลวงพ่อได้สั่งเสียและฝากฝังเอาไว้ว่าเมื่อท่านมรณภาพแล้ว ขอให้พิธีศพจัดอย่างเรียบง่าย ให้ “จัดแบบพระที่จน อย่าฟุ่มเฟือย” หลวงพ่อบอกว่าท่านไม่ขอรับพระราชทานเพลิงศพ ถึงแม้ว่าท่านจะมีสิทธิที่จะทำอย่างนั้นได้เพราะท่านเป็นอดีตเจ้าคณะตำบล งานศพก็อยากให้ทำแบบง่ายๆ และมีสาระ แทนที่จะสวดตามประเพณีอย่างที่เราเห็นกันในงานศพส่วนใหญ่ ท่านก็บอกให้สวดแปล แล้วท่านก็เลือกมาสองบท คือ ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร และอภิธรรม ให้สวดแปลทั้งสองบท เพราะฉะนั้นที่เราสวดมนต์เมื่อเย็นนี้ก็คือทำตามคำสั่งของท่าน ไม่ใช่ทำสักแต่เป็นพิธีกรรมที่ไม่มีความหมาย พระสวดไปโยมก็ไม่เข้าใจและอาจคุยกัน แต่ท่านอยากให้การสวดมนต์มีสาระ มีความหมาย สวดแล้วก็แปลด้วย และมีการแสดงธรรม

ท่านสั่งเสียอีกหลายอย่าง เพื่อกำชับให้งานศพของท่านเป็นไปอย่างไม่ฟุ้งเฟ้อ ไม่ก่อความเดือดร้อนกับผู้อื่น เพราะฉะนั้นงานศพของหลวงพ่อจะไม่เหมือนกับที่อื่น จึงอยากขอให้พวกเราอนุโลมหรือทำตามที่ท่านได้ฝากฝังเอาไว้ ให้งานนี้เป็นงานที่มีสาระ มีความหมาย จนถึงวันที่ปลงสรีระของท่าน ซึ่งกำหนดให้เป็นวันที่ 6 ก.ย. จะพยายามให้เป็นไปอย่างเรียบง่ายเท่าที่จะเป็นไปได้ และเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่มาร่วมงานด้วย

หวังว่าทุกท่านจะช่วยกันทำให้คำสั่งเสียของหลวงพ่อเป็นไปอย่างที่ท่านปรารถนา ดีกว่านั้นก็คือ การนำคำสอนของท่านไปปฏิบัติเพื่อให้เข้าถึงภาวะที่ไม่เป็นอะไรกับอะไร อย่างที่หลวงพ่อได้พูดย้ำอย่างมากในระยะหลัง

Thailand Web Stat