ตุลาการภิวัฒน์ในสหรัฐอเมริกา (16)

09 ธันวาคม 2557

ตุลาการศาลสูงสุดสหรัฐที่มีชื่อเสียงโด่งดังในการทำความเห็นแย้ง จนได้รับฉายาว่า “ผู้เห็นแย้งผู้ยิ่งใหญ่” (The Great Dissenter) คือ โอลิเวอร์ เวนเดลล์ โฮล์มส์ จูเนียร์ (Oliver Wendell Holmes Jr.)   เขาเป็นตุลาการศาลสูงสุดที่มีอายุมากที่สุด โดยขอลาออกจากตำแหน่งเมื่ออายุได้ 90 ปี กับ 309 วัน เขาเป็นตุลาการศาลสูงสุดอยู่ถึง 29 ปี 1 เดือน 8 วัน ตั้งแต่วันที่ 4 ธ.ค. 2445 ถึงวันที่ 12 ม.ค. 2475 โดยทำหน้าที่ตุลาการคนหนึ่งแทบตลอดช่วงชีวิตที่ทำหน้าที่ในศาลสูงสุด และรักษาการในตำแหน่งประธานตุลาการศาลสูงสุดเพียงช่วงสั้นๆ ระหว่างเดือนม.ค.-ก.พ. 2473

ตุลาการศาลสูงสุดสหรัฐที่มีชื่อเสียงโด่งดังในการทำความเห็นแย้ง จนได้รับฉายาว่า “ผู้เห็นแย้งผู้ยิ่งใหญ่” (The Great Dissenter) คือ โอลิเวอร์ เวนเดลล์ โฮล์มส์ จูเนียร์ (Oliver Wendell Holmes Jr.)   เขาเป็นตุลาการศาลสูงสุดที่มีอายุมากที่สุด โดยขอลาออกจากตำแหน่งเมื่ออายุได้ 90 ปี กับ 309 วัน เขาเป็นตุลาการศาลสูงสุดอยู่ถึง 29 ปี 1 เดือน 8 วัน ตั้งแต่วันที่ 4 ธ.ค. 2445 ถึงวันที่ 12 ม.ค. 2475 โดยทำหน้าที่ตุลาการคนหนึ่งแทบตลอดช่วงชีวิตที่ทำหน้าที่ในศาลสูงสุด และรักษาการในตำแหน่งประธานตุลาการศาลสูงสุดเพียงช่วงสั้นๆ ระหว่างเดือนม.ค.-ก.พ. 2473

เมื่อเกิดสงครามกลางเมืองในปี 2404 โฮล์มส์ อายุได้ 20 ปี พอดี กำลังเรียนปีสุดท้ายในมหาวิทยาลัย เขาสมัครเข้าเป็นทหารในกองทัพอาสาสมัครของมลรัฐแมสซาชูเซตส์ ร่วมรบจนได้รับบาดเจ็บและเกือบตาย โฮล์มส์เริ่มรับตำแหน่งในกองทัพในยศร้อยโท ต่อมาได้เลื่อนเป็นพันโทและทำหน้าที่ในฝ่ายเสนาธิการ โฮล์มส์ ได้เลื่อนยศเป็นนายพันเอก ทำการรบอยู่ 3 ปี

เมื่อพ้นจากหน้าที่ในกองทัพ โฮล์มส์กลับบ้านที่บอสตัน เขียนบทกวีและถกเถียงเรื่องปรัชญากับเพื่อนคือ วิลเลียม เจมส์ พร้อมรอให้กองทัพเรียกตัวไปรบรอบใหม่ แต่ปลายปีนั้น เมื่อเห็นว่าสงครามใกล้จะยุติ โฮล์มส์กลับเข้าไปเรียนในโรงเรียนกฎหมายของฮาร์วาร์ด

โฮล์มส์ทำงานวิชาการด้านกฎหมายจนมีชื่อเสียง เป็นศาสตราจารย์กฎหมาย และเขียนตำราเล่มสำคัญ คือ “คอมมอนลอว์” (The Common Law) ตีพิมพ์ออกมาเมื่อ พ.ศ. 2424 นับเป็นตำราสำคัญของวงการนิติศาสตร์โลก

โฮล์มส์ได้รับแต่งตั้งเป็นตุลาการในศาลสูงสุด มลรัฐแมสซาชูเซตส์ ช่วง พ.ศ. 2425-2242 เป็นประธานตุลาการศาลสูงสุดของมลรัฐแมสซาชูเซตส์ ช่วง พ.ศ. 2442-2445 และเป็นตุลาการศาลสูงสุดสหรัฐตั้งแต่วันที่ 4 ธ.ค. 2445 ทำหน้าที่อยู่เกือบ 30 ปี

โฮล์มส์ได้สร้างผลงานในวงการนิติศาสตร์มากมาย เป็นตุลาการศาลสูงสุดที่คำพิพากษาของเขาได้รับการอ้างอิงถึงมากที่สุดในสหรัฐ สำนวนโวหารในคำพิพากษาของเขามีชื่อเสียงในเรื่องความ  “กระชับและทรงพลัง” (Concise and Pithy) ตำราคอมมอนลอว์ของโฮล์มส์เสนอแนวคิดปฏิรูปกฎหมายดั้งเดิม ปฏิเสธทั้งแนวคิดกฎหมายแบบ “ประโยชน์นิยม” (Utilitarianism) แนวคิดปรัชญาอุดมคตินิยมแบบเยอรมัน (German Idealism) ซึ่งเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางในเวลานั้น และสอนกันในฮาร์วาร์ดด้วย

โฮล์มส์ได้รับเสนอชื่อเป็นตุลาการศาลสูงสุด โดยประธานาธิบดี ธีโอดอร์ รูสเวลต์ และได้รับการรับรองโดยมติเอกฉันท์จากวุฒิสภา โฮล์มส์ตัดสินคดีสนับสนุนรูสเวลต์ในคดีผนวกดินแดนอดีตอาณานิคมของสเปน แต่ในคดีระหว่างบริษัทหลักทรัพย์นอร์ทเทิร์น กับ สหรัฐ (Northern Securities Co. v. United States) ศาลตัดสินว่า บริษัทละเมิดกฎหมายต่อต้านการผูกขาดเชอร์แมน แต่โฮล์มส์ทำความเห็นแย้ง ทำให้ความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับรูสเวลต์ กลายเป็นความบาดหมางไปตลอดกาล

ในคดีระหว่างโอติสกับปาร์เกอร์ (Otis v. Parker) ซึ่งเป็นคดีแรกๆ ในหน้าที่ตุลาการศาลสูงสุด โฮล์มส์ได้ประกาศหลักการสำคัญว่า “วิถีทางที่ถูกต้องแห่งกฎหมาย” (Due Process of Law) คือ หลักการพื้นฐานแห่งความเป็นธรรม ที่คุ้มครองประชาชนจากกฎหมายที่ไม่มีเหตุผล ทั้งนี้จำกัดอยู่เฉพาะหลักการพื้นฐานในกฎหมายคอมมอนลอว์ และส่วนมากจะไม่คุ้มครองผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ

ในคดีระหว่างเชงค์กับสหรัฐ (Schenck v. United States) โฮล์มส์ได้รับมอบหมายให้เขียนคำพิพากษาที่ศาลมีมติเอกฉันท์ชี้ว่า บทบัญญัติแก้ไขรัฐธรรมนูญ ครั้งที่ 11 ที่รับรองสิทธิพลเมืองนี้ มิใช่สิทธิโดยสมบูรณ์ และไม่คุ้มครองบุคคลที่ “ตะโกนหลอกชาวบ้านในโรงหนังว่าไฟไหม้ และทำให้เกิดความอลหม่าน” ก่อนหน้านั้นในคดีบาลต์เซอร์กับสหรัฐ (Baltzer v. United States) เสียงส่วนใหญ่ในศาลสูงสุดกำลังจะตัดสินยืนตามศาลชั้นต้นให้ลงโทษผู้อพยพเข้าเมืองที่เป็นพวกสังคมนิยมที่ออกใบปลิวโจมตีการเกณฑ์ทหาร ซึ่งเข้าข่ายละเมิดกฎหมายโจรกรรม พ.ศ. 2461 (Espionage Act of 1917) โฮล์มส์เห็นแย้งและเตรียมเขียนความเห็นแย้ง  พอมีข่าวออกมา ศาลสูงสุดตัดสินใจจำหน่ายคดีดังกล่าว และขอให้โฮล์มส์เป็นผู้เขียนคำพิพากษา
ในคดีอื่นอีก  3 คดี ที่คณะตุลาการมีมติเอกฉันท์ โฮล์มส์รับเป็นผู้เขียนคำพิพากษาทั้งสามคดีดังกล่าว ชี้ว่าการใช้สิทธิเสรีภาพในการแสดงออกจะเป็นความผิดก็ต่อเมื่อมีลักษณะ “ชัดเจนและเป็นอันตรายเฉพาะหน้า” ที่จะก่ออันตรายตามที่กฎหมายได้ห้ามไว้อย่างชัดเจน

ในคดีบริษัทโรงเลื่อยซิลเวอร์ธอร์นกับสหรัฐ (Silverthorne Lumber Co. v. United States) โฮล์มส์ตัดสินว่าหลักฐานทางคดีที่ได้มาโดยมิชอบด้วยกฎหมาย จะนำมาใช้ในศาลมิได้ คำตัดสินนี้เองที่ต่อมารู้จักกันในนาม “ผลไม้จากต้นไม้พิษ” (Fruit of the Poisonous Tree)

ตลอดระยะเวลาเกือบ 30 ปี ที่เป็นตุลาการในศาลสูงสุด โฮล์มส์เขียนความเห็นแย้งเพียง 72 ฉบับ ขณะที่เป็นผู้เขียนคำพิพากษาของเสียงข้างมากถึง 852 ฉบับ แต่เขาได้รับสมญานามว่า “ผู้เห็นแย้งผู้ยิ่งใหญ่” เพราะความเห็นแย้งของเขาล้วนมีเหตุผลหนักแน่น แสดงถึงความสามารถในการ “หยั่งรู้อนาคต” ได้อย่างแหลมคม หลายครั้งที่เพียงปีเดียว หรือสองสามปี หลังจากนั้น เหตุการณ์ก็ได้พิสูจน์ว่าเขาเป็นฝ่ายถูก จนมีบางคนสมัยนั้นที่อ่านคำพิพากษาแล้วกล่าวว่า “เฮ้ย! คำพิพากษาเป็นคนละเรื่อง แต่ถ้าแกอยากรู้ว่าอะไรถูกอะไรผิดละก็ อ่านความเห็นแย้งดูสิ”

Thailand Web Stat