กรมหลวงโยธาเทพ พระราชธิดาในสมเด็จพระนารายณ์ (1)

14 ธันวาคม 2557

สมเด็จเจ้าฟ้าสุดาวดี กรมหลวงโยธาเทพ เป็นพระราชธิดาในสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ประสูติแต่สมเด็จเจ้าฟ้าสุริยงรัศมี

สมเด็จเจ้าฟ้าสุดาวดี กรมหลวงโยธาเทพ เป็นพระราชธิดาในสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ประสูติแต่สมเด็จเจ้าฟ้าสุริยงรัศมี พระอัครมเหสี เรื่องราวเบื้องต้นของพระองค์ปรากฏใน “คู่มือทูตตอบ” เขียนขึ้นโดยราชบัณฑิตไม่ปรากฏนามในสมัยกรุงศรีอยุธยาในปี 2224 โดยในเนื้อความได้กล่าวถึงพระราชโอรส-ธิดาในสมเด็จพระนารายณ์มหาราช มีเนื้อความระบุว่า ขณะนั้นพระราชธิดามีพระชนมายุได้ 25 พรรษา จึงสันนิษฐานว่าพระองค์ประสูติในปี 2199

เมื่อแรกประสูติพระองค์มีพระนามว่า “เจ้าฟ้าหญิงสุดาวดี” หรือ “พระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสุดาวดี” ด้วยเหตุที่พระองค์เป็นพระราชธิดาที่โปรดปรานของพระราชบิดา ดังนั้นจึงสามารถทำให้ผู้ที่เสกสมรสได้รับสิทธิธรรมเหนือราชบัลลังก์มากขึ้นด้วย

กรมหลวงโยธาเทพ พระราชธิดาในสมเด็จพระนารายณ์ (1)

 

สมเด็จเจ้าฟ้าสุดาวดีได้รับสถาปนาเป็นเจ้านายต่างกรมว่า เจ้าฟ้ากรมหลวงโยธาเทพ นับเป็นเจ้าฟ้าพระองค์แรกๆ ที่ปรากฏพระนามว่าเป็นเจ้าฟ้าต่างกรมคู่กันกับเจ้าฟ้าศรีสุพรรณกรมหลวงโยธาทิพ ซึ่งเป็นพระราชธิดาในสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง และเป็นพระขนิษฐาในสมเด็จพระนารายณ์ ซึ่งสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้นิพนธ์ไว้ในหนังสือตำนานวังหน้าเกี่ยวกับที่มาของเจ้าต่างกรมความตอนหนึ่งว่า

แต่เดิมมาขัตติยยศ ซึ่งสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินทรงตั้งเจ้านายนั้น เป็นตำแหน่งเฉพาะพระองค์ เช่น เป็นพระราเมศวร พระบรมราชา พระอินทราชา พระอาทิตยวงศ์ ส่วนพระองค์หญิงก็มีพระนามปรากฏเป็น พระสุริโยทัย พระวิสุทธิกษัตรีย์ เป็นต้น ครั้นในแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มีเหตุเป็นอริกับพระเจ้าน้องยาเธอ จึงไม่ได้สถาปนาขัตติยยศพระองค์หนึ่งพระองค์ใด พระราชโอรสก็ไม่มี (มีจดหมายเหตุฝรั่งกล่าวว่า เมื่อพระอัครมเหสีทิวงคต สมเด็จพระนารายณ์มีพระราชประสงค์จะให้ข้าราชการในพระมเหสีคงอยู่แก่เจ้าฟ้าพระราชธิดา) จึงโปรดให้รวบรวมข้าราชการจัดตั้งขึ้นเป็นกรมกรมหนึ่ง เจ้ากรมเป็นที่หลวงโยธาเทพ ให้ขึ้นอยู่ในสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าสุดาวดีราชธิดา และให้จัดตั้งอีกกรมหนึ่ง เจ้ากรมเป็นที่หลวงโยธาทิพ ให้ขึ้นอยู่ในสมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าศรีสุพรรณอย่างเดียวกัน เจ้าฟ้าทั้งสองพระองค์นั้นจึงปรากฏพระนามตามกรมว่า เจ้าฟ้ากรมหลวงโยธาเทพพระองค์หนึ่ง เจ้าฟ้ากรมหลวงโยธาทิพพระองค์หนึ่ง เป็นปฐมเหตุที่จะมีเจ้านายต่างกรมสืบมาจนทุกวันนี้

ว่ากันว่าสมเด็จพระนารายณ์ ทรงโปรดปรานพระราชธิดา กรมหลวงโยธาเทพเป็นอันมาก ทรงพระราชทานสิทธิและอำนาจแก่พระราชธิดาอย่างมากมาย ดังที่นายฟรังซัวส์ อังรี ตรูแปง ชาวฝรั่งเศสได้เขียนเรื่องจากบันทึกของหมอสอนศาสนาที่ประจำอยู่ในกรุงศรีอยุธยาว่า

“...กรมหลวงโยธาทิพ ทรงมีอาณาเขตของพระนางเอง และทรงมีข้าราชการและพวกทหารอยู่ในความรับผิดชอบของพระนางเพียงพระองค์เดียว ทุกๆ วันพระนางโปรดให้มีการประชุมระหว่างพวกราชการและทรงขึ้นนั่งบัลลังก์พร้อมกับรับความจงรักภักดีของสตรีเหล่านั้น ผู้ซึ่งหมอบกับพื้นด้วยการก้มศีรษะเช่นเดียวกับสามีของพวกเธอปฏิบัติในขณะเข้าเฝ้าพระเจ้าแผ่นดิน”

ในขณะที่บาทหลวงตาซาร์ด ซึ่งเดินทางเข้ามากรุงศรีอยุธยา พร้อมกับคณะทูตของลาลูแบร์ ในปี 2229 ได้บันทึกไว้ว่า

“...พระเจ้ากรุงสยามผู้เป็นพระชนก ทรงรักใคร่โปรดปรานพระราชธิดาเป็นอันมาก และได้ทรงมอบการฝ่ายในให้อยู่ในความดูแลของสมเด็จพระราชธิดา การตัดสินถ้อยคดีความต่างๆ ในระหว่างผู้หญิงฝ่ายในนั้นตกอยู่ในหน้าที่ของสมเด็จพระราชธิดา...”

ในขณะที่พระราชธิดาทรงเจริญพระชนมายุขึ้นนั้น สมเด็จพระนารายณ์ทรงหวังพระทัยไว้ว่าจะสถาปนาสมเด็จเจ้าฟ้าน้อยพระราชอนุชาของพระองค์ผู้ทรงมีน้ำพระทัยและมีพระราชอัธยาศัยละมุนละม่อม เป็นที่นิยมชมชอบของผู้คนในราชสำนักและราษฎรทั่วไป ให้เป็นองค์รัชทายาทและพระราชทานสมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงโยธาเทพ พระราชธิดาเพียงพระองค์เดียวให้เป็นพระชายา สมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงโยธาเทพเองก็ทรงมีความหวังความปรารถนาอย่างลึกซึ้งที่จะได้ครองคู่กับสมเด็จเจ้าฟ้าน้อยผู้เป็นอา จนกระทั่งมีการเตรียมการจะจัดงานอภิเษกสมรส แต่แล้วหวังก็พังทลายลงเมื่อสมเด็จเจ้าฟ้าน้อยทรงลอบเป็นชู้กับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ (แจ่ม) พระสนมเอกของสมเด็จพระนารายณ์ และท้าวศรีจุฬาลักษณ์ถูกลงโทษด้วยการโยนให้เสือกิน ส่วนเจ้าฟ้าน้อยก็ถูกลงโทษโบย จนเป็นอัมพาตที่พระชิวหา แต่บางแห่งว่าพระองค์ทรงแสร้งเป็นใบ้

เมื่อหมดหวังในสมเด็จเจ้าฟ้าน้อย พระราชอนุชาที่ทรงรักและเมตตาดุจพระโอรสแล้ว สมเด็จพระนารายณ์ ทรงมีพระราชประสงค์ให้กรมหลวงโยธาเทพ อภิเษกสมรสกับพระปีย์ พระราชโอรสบุญธรรม แต่กรมหลวงโยธาเทพไม่ทรงยินยอมพร้อมพระทัยด้วย เพราะพระองค์ทรงยึดมั่นในพระราชดำริเดิมที่จะอภิเษกสมรสกับเจ้าฟ้าน้อย และทรงขัดขืนพระราชประสงค์ของพระบิดา โดยปรากฏในบันทึกความทรงจำของบาทหลวง เดอะ แบส เกี่ยวกับชีวิตและการมรณกรรมของก็องสตังซ์ ฟอลคอน ความว่า

ฝ่ายเจ้าฟ้าหญิงนั้น ครั้นทรงได้รับแจ้งพระราชดำริ ก็ทรงไม่ยินยอมพร้อมพระทัยด้วย ชะรอยจะทรงมีความหยิ่งในราชสมภพ ดังที่เธอทรงแสดงอยู่ให้ประจักษ์ จึงไม่อาจลดพระองค์ลงมาอภิเษกกับบุคคลในชั้นไพร่ได้ หรือชะรอยจะเป็นดังที่คนทั้งหลายเข้าใจกันอยู่ กล่าวคือเธอมีน้ำพระทัยโน้มน้าวและผูกพันในทางอภิเษกสมรสมาแต่ก่อนกับพระปิตุลา (สมเด็จเจ้าฟ้าน้อย) อยู่แล้ว ...เธอก็ยังทรงยึดมั่นในพระราชดำริดั้งเดิมของในหลวงที่จะอภิเษกเธอให้แก่เจ้าชายองค์นั้นอยู่เสมอ แต่เรื่องได้ดำเนินไปอย่างลับๆ ดังที่กระผมได้ยินเขาพูดกันมา ว่าแม้ในหลวงหรือ มร.ก็องสตังซ์ (เจ้าพระยาวิชาเยนทร์) ก็มิได้ล่วงรู้ระแคะระคายเลย ในหลวงทรงขัดพระทัยเป็นอันมาก ในการที่พระราชธิดาทรงขัดขืนพระราชประสงค์อย่างหนักแน่น ไม่ทรงยินยอมอภิเษกสมรสกับพระปีย์...”

การที่สมเด็จพระนารายณ์ทรงมีพระราชธิดาเพียงพระองค์เดียว และไม่ทรงมีรัชทายาทสืบราชสมบัติ แม้บรรดาขุนนางข้าราชการจะกราบบังคมทูลให้สถาปนาสมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงโยธาเทพขึ้นเป็นองค์รัชทายาท แต่สมเด็จพระนารายณ์ก็ทรงเกรงว่าผิดพระโบราณราชประเพณี ในการตั้งราชนารีให้เป็นกษัตริย์ จึงไม่ได้พิจารณาเรื่องการสืบราชสมบัติตามคำกราบบังคมทูลของบรรดาขุนนางข้าราชการทั้งปวง แต่จะอย่างไรก็ตามกรมหลวงโยธาเทพ ก็ทรงเป็นพระราชธิดาที่ทรงมีอำนาจและอิทธิพลอย่างยิ่งในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ ทรงรับผิดชอบกิจการในพระราชวังแทนพระราชมารดาที่เสด็จสวรรคต ทรงดูแลเรื่องต่างๆ นางสนมกำนัลขันที จนชาววังเรียกว่า “เจ้าวัง” เมื่อทรงกรมแล้วได้รับพระเกียรติยศอย่างสูงสุดคือ ได้รับพระราชทานหัวเมืองเอก โท ตรี จัตวา ส่วยสาอากรขนอนตลาดเลกสมในสังกัด มีพระคลังสินค้า เรือกำปั่น และเงินทุน นอกจากนี้ยังได้รับพระราชทานทรัพย์สินส่วนพระองค์อีกจำนวนมาก เรื่องราวของพระองค์ได้ปรากฏในจดหมายเหตุลาลูแบร์ เอกอัครราชทูตฝรั่งเศสในปลายรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ที่ได้ทำการบันทึกไว้ความว่า “...เจ้าฟ้าหญิงองค์ที่ข้าพเจ้าได้กล่าวแล้วว่าดำรงอิสริยยศเยี่ยงพระมเหสีนั้น กำลังทรงมีเรื่องหมางพระทัยอยู่กับพระราชบิดา ด้วยเหตุที่พระองค์ทรงกว้านการค้ากับต่างประเทศไว้เสียหมด” ด้วยเหตุนั้น พระองค์จึงมีเหตุหมางพระทัยกับพระราชบิดาที่เป็นอุปสรรคทางการค้าของพระองค์ นอกจากนี้พระองค์ยังทรงมีเรื่องบาดหมางกับเจ้าพระยาวิชาเยนทร์ เนื่องจากเขาได้เกณฑ์แรงงาน 2,000 คนจากที่ดินในอาณัติของพระองค์ เพื่อนำไปปฏิบัติการในเมืองเขมรช่วงปี ค.ศ. 1684 จึงเป็นเหตุให้ทรงกริ้วหนัก และพระองค์ก็ทรง “ไม่สบายพระทัยนักที่พวกฝรั่งเศสเข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ในพระราชอาณาจักรเช่นนี้” ทั้งนี้ทรงตั้งตนเป็นปฏิปักษ์ต่อเจ้าพระยาวิชาเยนทร์ดังปรากฏความว่า “คุณพ่อบาทหลวงตอบพวกเราว่า หากทำตามที่เราเรียกร้องก็หมายหัว มร.ก็องสต็องซ์ไว้ได้เลย ทั่วทั้งอาณาจักรจะลุกขึ้น ตั้งกันเป็นหมู่เป็นพวก นับร้อยนับพัน จะเป็นโอกาสให้ศัตรูของเขา ซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนมาก หนึ่งในนั้นคือ ราชินี (พระราชธิดา-กรมหลวงโยธาเทพ) ซึ่งทรงเย่อหยิ่งและผยองในศักดิ์ศรีอย่างยิ่ง”

Thailand Web Stat