posttoday

คำพูดของแม่

07 กุมภาพันธ์ 2558

พอคิดว่าความตายของตัวเองจะทำให้พ่อแม่สบาย ไม่ต้องทุกข์ใจเพราะผมอีก ผมจึงตัดสินใจจะปลิดชีวิตตัวเองด้วยมือของผม

โดย...ซิวซี แซ่ตั้ง

พอคิดว่าความตายของตัวเองจะทำให้พ่อแม่สบาย ไม่ต้องทุกข์ใจเพราะผมอีก ผมจึงตัดสินใจจะปลิดชีวิตตัวเองด้วยมือของผม เพื่อจะได้จบเรื่องจบราวกันไปเสียที ไม่ต้องมีใครมาเดือดร้อนทุกข์ใจเพราะผมอีกต่อไป

หลังจากคิดจะฆ่าตัวตาย ผมก็เริ่มมองหาโอกาส โดยเลือกวันที่ไม่มีใครอยู่บ้าน โอกาสเป็นของผม เมื่อวันหนึ่งพ่อกับแม่ออกไปข้างนอกแต่เช้า พี่ๆ ก็ไม่อยู่ ผมตัดสินใจว่า วันนี้แหละจะทำตามแผนที่คิดไว้ ผมเดินคลำทางไปทางด้านหลังบ้าน พอไปถึงตรงจุดที่คิดว่ามีมีดวางอยู่ ผมก็ค่อยๆ คลำจนเจอมีดปังตอใช้สำหรับสับเป็ด สับไก่ ผมหยิบมันขึ้นมา...

แล้วน้ำตาก็เริ่มไหลพรู ผมคิดว่าจะออกแรงฟันไปที่คอให้แรงที่สุด เอาให้ขาดสองท่อนไปเลย จะได้ไม่ทรมาน ผมกำมีดไว้ในมือแน่น บอกกับตัวเองว่า ถึงเวลาแล้ว ผมเงื้อมือขึ้นสุดแขน...

วินาทีแห่งความเป็นความตายนั้น ผมแวบคิดถึงพ่อแม่ ภาพของท่านทั้งคู่ผ่านเข้ามา ในความคิดรู้สึกสะท้อนอยู่ในอก ผมรู้ว่าพ่อแม่ต้องเสียใจ และคงร้องไห้อย่างหนักเมื่อกลับมาพบว่าผมฆ่าตัวตายไปแล้ว แต่ผมไม่มีทางเลือก เมื่อคิดได้เช่นนั้นน้ำตาผมก็พรั่งพรูออกมาอีก พร้อมกับพึมพำกล่าวขอโทษท่านว่า “ลาก่อน พ่อกับแม่! ผมขอโทษ หากชาติหน้ามีจริง ผมขอเกิดมาเป็นลูกพ่อกับแม่อีก แต่ไม่ขอเป็นคนตาบอด ผมจะได้เลี้ยงพ่อแม่ได้”

ผมตวัดมือออกอีกครั้งเตรียมส่งคมมีดเข้าสู่ลำคอ แต่ยังไม่ทันที่มีดจะได้สัมผัสกับคอของผม พลันผมก็ได้ยินเสียงกรีดร้องดังลั่นด้วยความตระหนก

คำพูดของแม่

 

“อย่านะซิวซี...อย่าทำอย่างนั้น!”

สิ้นเสียงร้อง...ร่างของใครคนหนึ่งวิ่งเข้ามาแย่งปังตอคมกริบไปจากมือของผม และปัดมันกระเด็นออกไปเสียงดังโครมคราม คนที่มาเห็นผมกำลังจะฟันคอตัวเองนั้นคือซ้อ 3 ของผมนั่นเอง

“ซิวซี ทำไมถึงทำอย่างนี้ รู้มั้ยว่าพ่อแม่และทุกคนจะเสียใจมากแค่ไหน”

ซ้อ 3 ดึงตัวผมเข้าไปกอดแน่นแล้วร้องไห้

“ซ้อครับ ผมขอโทษ ผมเสียใจ ผมไม่อยากให้ทุกคนลำบาก ถ้าผมตายทุกคนจะได้สบาย”

“ไม่จริงหรอกซิวซี เราทุกคนรักซิวซี ถ้าซิวซีตาย ทุกคนต้องเสียใจ โดยเฉพาะพ่อกับแม่จะเสียใจมากนะ”

ซ้อ 3 พูดปลอบโยนผมอยู่นาน และให้ผมรับปากว่าจะไม่คิดฆ่าตัวตายอีก เย็นนั้นเมื่อพ่อกับแม่กลับมาบ้าน รู้เรื่องที่ผมจะฆ่าตัวตาย แม่กอดผมไว้แน่นแล้วร้องไห้น้ำตาไหลพราก

“ซิวซี อย่าทำอย่างนี้อีกนะ ชีวิตเราต้องมีความหวังสิ แม่รักลูกมากนะ”

“ทุกคนต้องมาลำบากเพราะผม ผมไม่อยากมีชีวิตอยู่ ผมไม่อยากอยู่แบบคนไร้ค่า เป็นไอ้บอด เป็นคนพิการไปตลอดชีวิต” ผมพูดไปร้องไห้ไป สะอื้นฮักๆ น้ำตานองหน้า

“อย่าโง่สิซิวซี ลูกจะต้องหาย แม่จะพาลูกไปรักษากับหมอเก่งๆ”

แม่ร้องไห้กอดผมไว้ไม่ยอมปล่อย ปลอบผมอยู่นาน พูดให้ความหวังผมต่างๆ นานา จนผมมีท่าทีสงบลง แม่และคนอื่นคิดว่าผมคงได้สติ ไม่คิดสั้นแล้ว แต่แท้จริงแล้ว ภายนอกของผมสงบลงก็จริง แต่ลึกๆ ในใจของผมเหมือนมีไฟลุกโชน ร้อนรุ่มสุมอก รับไม่ได้ที่จะอยู่แบบคนไร้ค่า มีชีวิตที่มืดมิดไปตลอด ใจร้องบอกตัวเองว่า

“ตายไปเถอะซิวซี อยู่ไปก็ไม่มีประโยชน์”

เหตุการณ์ฆ่าตัวตายในวันนั้น ทำให้พ่อแม่พี่น้องเฝ้าระวังผมมากขึ้น กลัวว่าผมจะลงมืออีกครั้ง ซึ่งความจริงแล้วผมยังไม่ได้ล้มเลิกความคิดฆ่าตัวตายตามที่แม่ขอร้อง เพราะผมรู้สึกหมดหวังที่จะรักษาดวงตาให้หาย ผมรับไม่ได้ที่ต้องตาบอดไปทั้งชีวิต รับไม่ได้ที่ต้องเป็นภาระของพ่อแม่อย่างไม่มีวันสิ้นสุด

ผมสงสารท่านที่ต้องทำมาหากินเหนื่อยสายตัวแทบขาด เพื่อหาอาหารมาเลี้ยงคนพิการอย่างผม ถึงแม้แม่จะพยายามปลอบว่ากำลังหาหมอมารักษาตาให้ผม แต่ผมรู้ดีว่าพ่อแม่ไม่มีเงิน หมอที่ไหนจะมารักษาให้หากต้องไปกู้ยืมเงินคนอื่นมารักษา โชคร้ายดวงตาไม่หายก็ต้องเป็นหนี้ สูญเงินเปล่าโดยไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย แต่กลับสร้างหนี้เป็นภาระหนักอึ้งให้กับครอบครัว ความรู้สึกของผมท้อแท้ สิ้นหวังไปหมดเสียทุกอย่าง ปัญหามากมาย จนผมคิดว่าความตายคือการจบปัญหาที่ดีที่สุด

ความคิดเรื่องฆ่าตัวตายยังวนเวียนอยู่ในสมองของผมตลอดเวลา แต่คงจะทำได้ยากขึ้น มีดไม้ หรือเครื่องมือที่จะใช้เป็นอาวุธได้ในบ้านถูกเก็บอย่างมิดชิด ไม่ให้ผมหาเจอ หนำซ้ำ ทุกคนยังเฝ้าระวังจับตามองผมตลอด ชนิดไม่ให้คลาดสายตาเลยทีเดียวแต่ผมก็ไม่ละความพยายาม เฝ้าคิดหาทางจบชีวิตตัวเองทุกวัน ไม่ใช่ผมไม่เชื่อแม่ แต่ผมสงสารแม่ที่ต้องทุกข์ทรมานมีลูกพิการอย่างผม แล้วผมก็คิดหาวิธีฆ่าตัวตาย ครั้งใหม่ได้ เมื่อไม่มีมีด ผมก็ไม่ใช้ ครั้งนี้ผมหันไปใช้เชือกแทน คิดว่าจะผูกคอตาย โดยแอบนำเชือกมะนิลาเส้นขนาดเท่านิ้วก้อยที่ใช้สำหรับผูกหาบมาเก็บไว้

แล้วโอกาสฆ่าตัวตายครั้งที่สองของผมก็มาถึง วันนั้นทุกคนมีความจำเป็นต้องออกไปทำงานกันหมด เหลือผมอยู่บ้านเพียงคนเดียว ทุกคนในบ้านคงคิดว่าผมเลิกล้มเรื่องฆ่าตัวตายไปแล้ว เพราะนับจากการลงมือฆ่าตัวตายครั้งแรก เวลาผ่านมากว่าหกเดือน แต่ไม่มีใครรู้ว่าในใจผมยังคิดเรื่องนี้อยู่ตลอดเวลา ผมโทษตัวเองที่เกิดมาแล้วมีเวรกรรม ทำให้คนอื่นเดือดร้อนพ่อแม่ท่านเหนื่อยหนักอยู่แล้ว แต่ผมยังมาทำให้ท่านลำบากมากขึ้นอีก ฉะนั้นผมต้องยุติปัญหาทั้งหมดด้วยตัวผมเอง

คิดแล้วดวงตาเริ่มร้อนผ่าว น้ำตาเอ่อคลอขึ้นมาเต็มเบ้า แล้วล้นร่วงลงไปบนแก้มเป็นสาย

ผมรักแม่ รักพ่อ รักพี่ทุกคน ไม่อยากตายจาก แต่จะอยู่ให้เป็นภาระของพวกเขาต่อไปได้อย่างไร ไม่เห็นแก่ตัวมากเกินไปหรือ หลังจากใคร่ครวญเพียงชั่วอึดใจ ผมก็คลำทางไปหยิบเชือกมะนิลาที่ซ่อนเอาไว้ ใช้เวลาไม่นานก็สามารถผูกปลายเชือกด้านหนึ่งให้เป็นบ่วงสำหรับใช้คล้องคอได้สำเร็จ ซึ่งหากมีน้ำหนักถ่วงลงมามันจะรูดรัดคอในทันที

เมื่อผมนำบ่วงคล้องลงไปที่คอแล้ว ผมก็คิดว่าจะต้องนำปลายเชือกอีกข้างหนึ่งไปผูกไว้กับที่สูง คือ “ขื่อ” แล้วผมจะทิ้งตัวลงมา บ่วงจะรัดคอผมอย่างแรงจนหายใจไม่ออก คงเจ็บปวดไม่น้อย แต่ผมคิดว่าเจ็บเพียงครั้งเดียวระยะเวลาสั้นๆ เมื่อผมหมดความรู้สึกทุกอย่างก็จะจบสิ้น

ตอนนั้นผมไม่รู้สึกกลัวตายเลยแม้แต่น้อย จิตใจจดจ่ออยู่กับการเดินเข้าหาความตาย มองเห็นความตายเป็นเพื่อนที่ดีมาก...มันจะช่วยให้ผมหลุดพ้นจากความทุกข์ทรมานที่เกาะกินความรู้สึก

ผมร้องไห้น้ำตาไหลพราก เมื่อนึกว่าอีกไม่กี่นาทีผมต้องจากทุกคนไป และไม่มีโอกาสได้พบหน้ากันอีกแล้ว ผมถือปลายเชือกด้วยมือข้างซ้าย มือข้างขวาคลำหาทางที่จะปีนขึ้นไปผูกเชือกกับขื่อด้านบน

ผนังบ้านของผมไม่มีที่จับยึดให้ปีนขึ้นไป ผมต้องหาอะไรสักอย่างมาช่วยให้ผมยืนขึ้นไปผูกเชือกที่ขื่อได้ แล้วผมก็คลำไปพบเข้ากับหีบใบหนึ่ง หีบใบนี้สูงกว่าหัวเข่า ถูกวางไว้ข้างผนัง ผมคลำไปด้านบนหีบก็รู้ว่ามีพื้นที่ว่างพอจะขึ้นไปยืนได้ ผมดึงเก้าอี้ซึ่งมีความสูงกว่าหีบที่อยู่แถวนั้นมาใกล้ๆ ก่อนจะก้าวขึ้นไปยืนบนหีบ ควานหาที่ผูกเชือก มือคลำไปเจอตะขอเหล็กสองอันห้อยอยู่กับขื่อ ผมไม่รู้หรอกว่าเป็นตะขออะไรที่มาห้อยอยู่ตรงนั้น เดาว่าน่าจะเป็นตะขอใช้เกี่ยวเพื่อหาบของ จากนั้นผมก้าวขึ้นมายืนบนเก้าอี้ ตัดสินใจผูกเชือกทันที แต่ยังไม่ทันเสร็จก็มีเสียงของซ้อ 4 ร้องดังลั่นขึ้น

“ซิวซี อย่านะ อย่าทำยังงั้น!”

ซ้อ 4 รีบวิ่งเข้ามาแย่งเชือกที่ผูกคอออกแล้วกอดผมไว้แน่น ซ้อ 4 คงตกใจมากที่เห็นว่า ผมเกือบจะผูกคอตายได้สำเร็จ เขาร้องไห้ ก่อนประคองผมลงมาจากเก้าอี้ แล้วดุผมเสียงดัง

“ทำอย่างนี้ทำไม ไม่รู้เหรอว่าพวกเราจะเสียใจแค่ไหน โดยเฉพาะพ่อแม่ลื้อจะเสียใจมากขนาดไหน อุตส่าห์วิ่งวุ่นหาทางรักษาลูก แต่ลูกมาคิดสั้น ไม่สงสารแม่กับพ่อหรือยังไง”

“ผมไม่อยากอยู่ ใครไม่มาเป็นผม ไม่มีวันรู้ว่าผมทุกข์ใจแค่ไหน” ผมพูดเสียงสั่น ยกมือขึ้นปาดน้ำตาที่ไหลล้นลงมาอาบแก้ม “เราก็ทุกข์ด้วยกันทุกคน ซ้ออยากให้ซิวซีคิดถึงพ่อแม่ให้มากๆ ท่านสองคนไม่ได้ทุกข์น้อยกว่าลื้อเลย แต่พวกเขาไม่ยอมแพ้ คิดต่อสู้หาทางรักษาลื้อ ลื้อก็ต้องสู้ จะยอมแพ้ไม่ได้”

ซ้อ 4 อายุแค่ 22 ปี แต่พูดเป็นผู้ใหญ่เกินตัว สอนผมหลายอย่าง และไม่ยอมไปทำอะไร นั่งเฝ้าผม กลัวผมจะคิดสั้นอีก กระทั่งแม่กลับมาในเวลาเย็น รู้เรื่องที่ผมจะฆ่าตัวตายแม่ร้องไห้ กอดผมไว้แน่น ราวกับกลัวว่าผมจะหลุดลอยไป

“ซิวซี...ทำไมทำอย่างนี้”

“ผมก็แค่อยากตาย อยากให้ทุกอย่างมันจบ จะได้หยุดความเดือดร้อนวุ่นวาย”

วันนั้นผมมีโอกาสได้พูดทุกอย่างที่อัดอั้นในใจ ผมบอกแม่ว่าผมเป็นทุกข์เหลือเกินที่เป็นภาระให้คนในครอบครัวต้องเลี้ยงดู ให้แม่มานั่งป้อนข้าวป้อนน้ำ ผมไม่อยากมีชีวิตอยู่ ซึ่งแม่ได้บอกถึงความในใจของแม่กับผมด้วยเช่นกันว่า

“แม่อยู่ไม่ได้ ถ้าลูกตายแม่ก็จะตายด้วย...”

คำพูดของแม่ทำให้ผมซึ้งใจและมีความหมายกับผมยิ่งนัก มันทำให้ผมรู้ว่า แม่รักลูกมากเหลือเกิน