ประชาธิปไตยที่ยั่งยืนในประเทศไทย
ประชาธิปไตยที่ยั่งยืนอย่างแท้จริงยังไม่ได้หยั่งรากลึกลงในประเทศไทย ประจักษ์พยานในเรื่องนี้สังเกตได้จากจำนวนการก่อรัฐประหาร
โดย...วิลเลี่ยม คลาวสเนอร์ นักมานุษยวิทยาและนักวิเคราะห์สังคมการเมือง, เจมส์ สเตนท์ นักการธนาคารและนักวิจัยเศรษฐกิจการเมือง, โรเบิร์ต ฟิทท์ นักการทูตและนักวิเคราะห์การเมือง, แดนนี อังเกอร์ อาจารย์มหาวิทยาลัยและนักเขียนด้านการเมือง
ตลอดช่วงปีที่ผ่านมา รัฐบาลต่างชาติหลายประเทศได้กระตุ้นเตือนให้ประเทศไทย “นําระบอบประชาธิปไตยกลับคืนมา” และ ”จัดการเลือกตั้ง” เราชาวอเมริกันทั้งสี่คนที่ลงชื่อท้ายบทความนี้ ซึ่งเป็นผู้ที่ได้อาศัยอยู่บนผืนแผ่นดินไทยโดยหากนับระยะเวลารวมกันแล้วก็เกินหนึ่งศตวรรษ เห็นว่าการกระตุ้นเตือนด้วยเจตนาดีนี้ขาดความลึกซึ้งและได้กลับก่อให้เกิดผลในทางตรงกันข้าม และแสดงให้เห็นถึงการขาดความเข้าใจอย่างเพียงพอเกี่ยวกับสภาพความท้าทายทางวัฒนธรรม สังคม และการเมือง ที่ประเทศไทยจะต้องจัดการให้ได้หากจะพัฒนาประเทศไปสู่ระบอบประชาธิปไตยที่ยั่งยืน ในความเห็นของเรา ประเทศไทยมีความจำเป็นในการกลับไปสู่ระบอบประชาธิปไตยในรูปแบบที่เคยเป็นมาน้อยกว่าการเดินหน้าสร้างประชาธิปไตยรูปแบบใหม่ที่คงทนถาวร
ชาวต่างชาติควรจะเข้าใจว่าประเทศไทยได้พยายามสร้างระบอบประชาธิปไตยที่ยั่งยืนมาตั้งแต่ช่วงเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ. 2475 ในบางช่วงเวลาเป้าหมายอาจดูลางเลือน และในบางช่วงเวลาเป้าหมายนั้นก็ดูเหมือนจะอยู่ใกล้เพียงแค่เอื้อม โดยทั่วไปแล้ว ประวัติศาสตร์การเมืองไทยตลอด 83 ปีที่ผ่านมา จะเป็นเรื่องราวของรัฐบาลที่มาจากชนชั้นนําที่มักจะมีลักษณะการใช้อํานาจเผด็จการจากบนลงล่างไม่มากก็น้อย
ท่ามกลางความขัดแย้งตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา คนไทยมีความเห็นกว้างๆร่วมกันอย่างหนึ่งคือ ประเทศไทยควรที่จะมีประชาธิปไตยรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง คนไทยหลายชั่วอายุคนได้ใช้ความพยายามอย่างดีที่สุดในการสร้างสภาวะภาพที่มีความจําเป็นในการที่จะนําประเทศไทยไปสู่การปกครองระบอบประชาธิปไตย และได้พยายามกําหนดรูปแบบของประชาธิปไตยที่มีความเหมาะสมกับประเทศไทยมากที่สุด อย่างไรก็ตามความพยายามดังกล่าวนี้ก็ยังไม่บรรลุผลสำเร็จ
ประชาธิปไตยที่ยั่งยืนอย่างแท้จริงยังไม่ได้หยั่งรากลึกลงในประเทศไทย ประจักษ์พยานในเรื่องนี้สังเกตได้จากจำนวนการก่อรัฐประหารและจํานวนรัฐธรรมนูญฉบับแล้วฉบับเล่าที่ถูกประกาศใช้ และฉีกทิ้งในช่วงตลอดระยะเวลา 83 ปีที่ผ่านมา เราจึงถามตัวเองว่าประชาธิปไตยอะไรที่ผู้วิพากษ์วิจารณ์ชาวต่างชาติผู้ปรารถนาดีทั้งหลายต้องการให้ประเทศไทยนํากลับคืนมา เราสงสัยว่าการเรียกร้องให้ประเทศไทยจัดการเลือกตั้งในทันทีนั้นจะได้อะไรขึ้นมา เมื่อพิจารณาถึงความผิดหวังครั้งแล้วครั้งเล่าที่ตามมาหลังจากการเลือกตั้งหลายต่อหลายครั้งในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา มีเหตุผลอะไรหรือ ที่จะทําให้เชื่อได้ว่าการเลือกตั้งอีกสักครั้งจะแก้อาการอัมพาตของการเมืองไทยอย่างเป็นปาฏิหาริย์
ไม่ว่าในกรณีที่ทหารเข้ามามีอํานาจโดยตรงในรัฐบาลหรือมีรัฐบาลที่ถูกแต่งตั้งโดยทหารก็ตาม เราจะเห็นธรรมชาติของการใช้อํานาจเผด็จการได้อย่างชัดเจน ในหลายๆกรณี รัฐบาลพลเรือนที่มาจากการเลือกตั้งที่ชอบธรรมก็มักจะมีพฤติกรรมเผด็จการที่ไม่สอดคล้องกับหลักประชาธิปไตยอยู่บ่อยๆ รัฐบาลพลเรือนส่วนมากยังไม่ได้พัฒนาและสร้างความเข้มแข็งอย่างยั่งยืนให้กับค่านิยมและโครงสร้างที่มีความจำเป็นต่อระบอบเสรีประชาธิปไตย และในบางครั้งกลับเหยียบย่ำสิทธิของชนกลุ่มน้อย ชุมชนและปัจเจกบุคคลต่างๆ หลายครั้งหลายครา รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งได้ใช้อํานาจในตําแหน่งหน้าที่เพื่อเพิ่มพูนอํานาจและความมั่งคั่งให้กับตนเองด้วยวิธีการที่ขัดกับกฎหมาย และบางครั้งก็บั่นทอนอำนาจการตรวจสอบถ่วงดุลและภาคประชาสังคมซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ระบอบประชาธิปไตยมีความหมายอย่างแท้จริง ทั้งนี้เรามิได้เห็นว่าฝ่ายที่เป็นปฏิปักษ์ทางการเมืองฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดจะมีศีลธรรมความดีงามมากหรือน้อยไปกว่าอีกฝ่ายหนึ่ง
รัฐธรรมนูญฉบับประชาชนปี 2540 ได้ถูกริเริ่มขึ้นมาเพื่อการปฏิรูปการเมืองอย่างแท้จริง แต่ถึงกระนั้น รัฐธรรมนูญฉบับนี้ก็มิอาจต้านทานอำนาจที่ไม่เคารพเสียงส่วนใหญ่ได้ บ่อยครั้งที่การสลับสับเปลี่ยนรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งเป็นเพียงผลของการแทนที่กันของกลุ่มการเมืองต่างๆเพื่อเข้ามามีอํานาจในการแสวงหาผลประโยชน์ให้แก่ตนเอง
ยิ่งไปกว่านั้น รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งก็ได้เพิกเฉยต่อข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการกำหนดนโยบายที่มาจากภายนอกไม่น้อยไปกว่ารัฐบาลทหาร ลักษณะของสังคมไทยภายใต้ระบบอุปถัมภ์ ระบบชนชั้น และระบบที่ผู้ชายเป็นใหญ่ ได้ก่อให้เกิดกลุ่มชนชั้นนำในมิติทางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง และการทหาร ชนชั้นนำที่มีตําแหน่งและสถานะภาพต่างๆ ในสังคมเหล่านี้เห็นว่าตนเป็นผู้ที่มีความชอบธรรมในการปกป้องดูแลผลประโยชน์ของชาติและเป็นผู้กําหนดสิ่งที่ดีที่สุดสําหรับคนทุกคนในสังคมโดยอาศัยระบบราชการแบบรวมศูนย์เป็นเครื่องมือที่สําคัญ ซึ่งระบบราชการในลักษณะดังกล่าวมิได้มีลักษณะการทํางานเพื่อตอบสนองตอบความต้องการของประชาชนเท่าใดนัก ทั้งยังไม่ค่อยมีความละเอียดอ่อนต่อคุณค่าของภูมิปัญญาชาวบ้านและความหลากหลายของมรดกทางสังคมและวัฒนธรรมในแต่ละภูมิภาคเท่าที่ควร
การเลือกตั้งในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาได้กระตุ้นให้ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งได้ตระหนักถึงความเชื่อมโยงระหว่างผลประโยชน์ของตนกับกระบวนการการเลือกตั้ง ซึ่งถือได้ว่าเป็นความสำเร็จที่สำคัญอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตามการเลือกตั้งนั้นก็ได้นำมาซึ่งรัฐบาลที่มุ่งเพิ่มพูนความมั่งคั่งให้แก่ตนเองและทํางานอย่างเป็นระบบเพื่อที่จะทำลายระบบตรวจสอบอำนาจของตน อันนําไปสู่การแทรกแซงของฝ่ายตุลาการและสถาบันทหารเพื่อทำการถอดถอนรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งนั้น ซึ่งการแทรกแซงในลักษณะเช่นนี้ได้ทำลายเสียงของสาธารณะที่เพิ่งถูกจุดประกายขึ้นมาเพียงไม่นาน
รากศัพท์ของคําว่า “ประชาธิปไตย” (Democracy) นั้นมาจากคำในภาษากรีกโบราณว่า “ประชา” (demos) หมายถึง สามัญชนคนธรรมดา การที่จะสร้างความเข้มแข็งให้แก่ระบอบประชาธิปไตยของไทยได้นั้น การรวมศูนย์อํานาจแบบบนลงล่างจะต้องถูกแทนที่ด้วยการให้ประชาชนทั่วไปมีสิทธิออกเสียงและแสดงความต้องการของตนอย่างแท้จริง
การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวนี้ย่อมต้องอาศัยการปรับเปลี่ยนทัศนคติของคนในสังคมขนานใหญ่ ทั้งในส่วนของกลุ่มผู้ที่อยู่ในระบบอํานาจเดิมและส่วนที่เป็นประชาชนทั่วไป ฝ่ายที่มีอํานาจจะต้องเรียนรู้ที่จะรับฟังและให้ความสําคัญต่อเสียงของประชาชนที่ถูกแสดงออกผ่านทางการเลือกตั้ง ภาคประชาสังคม และกลไกอื่นๆ ส่วนฝ่ายประชาชนเองก็จะต้องเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการทางการเมืองอย่างแข็งขัน ชาญฉลาด และมีความรับผิดชอบ แสดงความคิดเห็นต่อการตัดสินใจที่มีผลต่อชีวิตของตนผ่านกระบวนการประชาธิปไตย และเรียกร้องให้รัฐบาลที่ตนเองเลือกเข้ามานั้นมีความรับผิดชอบต่อสังคม ประชาชนที่ถูกชักจูงได้ง่ายและนิ่งนอนใจก็เป็นอุปสรรคที่สําคัญต่อระบอบประชาธิปไตยของไทยไม่น้อยไปกว่าชนชั้นปกครองที่มีความพึงพอใจในการใช้อํานาจทางการเมืองอย่างนิ่งนอนใจด้วยเช่นกัน
คุณลักษณะของ “ความเป็นไทย” ที่ทําให้วัฒนธรรมไทยมีความน่าประทับใจ เช่น ความนอบน้อม ความสง่างาม ความละเอียดอ่อนต่อความขัดแย้ง การเคารพผู้ใหญ่และผู้บังคับบัญชา การไม่ยึดติดและการยอมรับความเปลี่ยนแปลงของสรรพสิ่ง เป็นสิ่งที่ช่วยทําให้ระบบสังคมแบบลําดับขั้นและระบบอุปถัมภ์มีความแข็งแกร่งมากขึ้น ซึ่งไม่สอดคล้องกับค่านิยมในระบอบประชาธิปไตยที่มีหลักการที่สําคัญว่า รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งนั้นจะต้องเคารพและใช้อํานาจรัฐภายใต้หลักนิติรัฐ หรือการบังคับใช้กฎหมายอย่างเท่าเทียมกัน เน้นย้ำความโปร่งใสและเปิดใจยอมรับความคิดเห็นที่แตกต่าง
ที่กล่าวมาข้างต้นนี้มิได้หมายความว่าประเทศไทยไม่ควรเดินหน้าสร้างระบอบประชาธิปไตยที่มีความมั่นคงและยั่งยืนต่อไป หรือหมายความว่ามิตรต่างชาติไม่ควรให้ความช่วยเหลือหรือให้คำแนะนำอย่างสร้างสรรค์ ในทางกลับกัน เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าประเทศไทยจะเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของประชาคมเสรีประชาธิปไตยที่มีความมั่นคงในเร็ววัน
ไม่มีกระบวนการใดที่มีความสำคัญในระบอบประชาธิปไตยมากไปกว่าการเลือกตั้ง แต่การเลือกตั้งก็ไม่ใช่ส่วนเดียวที่ทําให้มีความเป็นประชาธิปไตย ในทัศนะของเรา ประเทศไทยจะต้องใส่ใจกับการวางรากฐานเพื่อสร้างระบบการเมืองที่มีความยั่งยืนทั้งช่วงก่อนและหลังกระบวนการเลือกตั้ง มิใช่แค่ให้ความใส่ใจต่อการบวนการการเลือกตั้งเพียงอย่างเดียว รัฐธรรมนูญและกฎหมายเลือกตั้งสามารถถูกออกแบบได้ซ้ำแล้วซ้ำอีก โดยอาศัยความช่วยเหลือจากนักวิชาการและนักกฎหมายที่เก่งที่สุดมาเป็นผู้กําหนดว่าการเลือกตั้งควรที่จะถูกดําเนินการอย่างไร แต่รัฐธรรมนูญและกฎหมายการเลือกตั้งเหล่านั้นก็ไม่อาจนําไปสู่ประชาธิปไตยที่ยั่งยืน หากยังไม่มีการวางรากฐานที่มีความสำคัญต่อระบอบประชาธิปไตยอย่างเพียงพอ
เราขอคิดทบทวนอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับบทเรียนตลอดระยะเวลา 83 ปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับนัยยะของเหตุการณ์ความผันผวนและวุ่นวายในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา เราขอถามมิตรสหายต่างชาติของประเทศไทยว่า ท่านได้คิดพิจารณาแล้วหรือยังว่ามีประเด็นใดบ้างที่ประเทศไทยต้องแก้ไขหากต้องการให้ประเทศมีความเป็นประชาธิปไตยในความหมายที่ควรจะเป็น ที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใด รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งจะต้องยึดหลักนิติรัฐ เปิดใจรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่างจากความคิดของตนเอง ส่งเสริมสนับสนุนระบบการจัดการตามแนวทางประชาธิปไตยและสร้างเสริมพลังของภาคประชาสังคมในระดับรากหญ้า
สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่มิตรต่างชาติควรจะตระหนักอย่างลึกซึ้งในเวลาที่ต้องการเรียกร้องให้ประเทศไทย “นําระบอบประชาธิปไตยกลับคืนมา”
หลักนิติรัฐหรือหลักการบังคับใช้กฎหมายอย่างเท่าเทียมกันนั้น เป็นพื้นฐานที่สำคัญในการสร้างระบอบเสรีประชาธิปไตยที่ยั่งยืน ประเทศไทยมีกรอบของระบบกฎหมายที่เป็นพื้นฐานของหลักนิติรัฐก็จริงอยู่ แต่ก็เป็นที่ชัดเจนในสายตาคนไทยว่าบ่อยครั้งเกินไปที่กฎหมายไม่ได้ถูกบังคับใช้อย่างเท่าเทียมกันระหว่างคนรวยกับคนจน ตำรวจมีภาพพจน์ที่มัวหมอง ระบบศาลไม่ได้ตัดสินคดีอย่างเป็นกลางเสมอไป และในบางครั้งผู้ที่มีเส้นสายและอิทธิพลก็เพิกเฉยกฎหมายโดยไม่ได้รับการลงโทษ
ความเชื่อที่ว่าคนทุกคนไม่ว่าจะอยู่ในระดับใดต่างมีความเสมอภาคกันภายใต้กฎหมายนั้นยังไม่ใช่บรรทัดฐานหลักในประเทศไทย วิธีการที่จะทำสิ่งนี้ให้เกิดขึ้นได้คือสิ่งที่มีความท้าทายเป็นอย่างยิ่งสำหรับประเทศไทยในการแสวงหาประชาธิปไตยจนกระทั่งความเชื่อนี้จะมีความสำคัญและเป็นหลักในกระบวนการพัฒนาประเทศ เราไม่ค่อยมีความหวังเท่าใดนักว่าประเทศไทยจะมีความเป็นประชาธิปไตย
ความสำเร็จในการสร้างระบอบประชาธิปไตยภายใต้หลักนิติรัฐนั้นอาจเกิดขึ้นได้หากเราให้ความใส่ใจน้อยลงต่อการสร้างความแข็งแกร่งให้กับ “ความเป็นไทย” ซึ่งเป็นวิธีการคิดที่ย้อนกลับสู่อดีต ในทางกลับกัน วิสัยทัศน์และแนวทางที่ประเทศไทยจะเดินไปข้างหน้าภายใต้บริบทของประชาคมอาเซี่ยน (AEC) ควรที่จะได้รับการให้ความสำคัญมากกว่า วิวัฒนาการของระบอบประชาธิปไตยที่ดำเนินไปข้างหน้าอย่างช้าๆ สงบสันติและมั่นคงนั้นจะเกิดขึ้นได้จากการมีวิสัยทัศน์ในการมองอนาคตข้างหน้า มิใช่จากการมองอดีตที่ผ่านมา
ศาสนาพุทธสอนว่าทุกอย่างล้วนเป็นอนิจจัง สรรพสิ่งทั้งหลายล้วนเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา การตระหนักและอ้าแขนรับการเปลี่ยนแปลงที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้ อาจเป็นพื้นฐานสำหรับการเริ่มต้นที่จะพัฒนาวิสัยทัศน์ระดับชาติ ที่จะสมานความแตกแยกและการแบ่งสีของคนในชาติ เสริมสร้างพลังของภาคประชาสังคมในการสร้างประเทศให้มีความมั่นคงและมีความยุติธรรมมากขึ้น รวมทั้งส่งเสริมสนับสนุนหลักนิติรัฐและเปิดใจยอมรับซึ่งกันและกัน สิ่งเหล่านี้จะทำให้ระบอบเสรีประชาธิปไตยที่ยั่งยืนสามารถหยั่งรากลึกลงสู่สังคมไทยได้ในอนาคต
วิสัยทัศน์ดังกล่าวอย่างน้อยต้องรวมถึงการปฏิรูปการศึกษาทั้งระบบ เพื่อสร้างศักยภาพให้คนไทยมีลักษณะของความเป็นพลเมืองที่มีส่วนร่วมและรู้จักรับผิดชอบต่อบ้านเมือง การปรับเปลี่ยนระบบตำรวจให้เป็นผู้บังคับใช้กฎหมายอย่างเท่าเทียมกันอย่างมีประสิทธิผล การไม่ยอมรับการฉ้อราษฎร์บังหลวงโดยเด็ดขาด การปฏิรูประบบราชการแบบรวมศูนย์อํานาจที่มีขนาดเทอะทะให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น การตัดทอนและเพิ่มความคล่องตัวให้แก่โครงสร้างที่ตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนและผลประโยชน์ที่แตกต่างหลากหลายในระดับท้องถิ่น ตัวอย่างของบางประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกที่ทำให้วิสัยทัศน์การเปลี่ยนแปลงเพื่อฟื้นฟูประเทศดังกล่าวเกิดขึ้นได้ อันส่งผลให้เกิดระบอบประชาธิปไตยที่อยู่บนพื้นฐานของชนชั้นกลางและกลายเป็นสังคมที่มีความมั่งคั่ง น่าจะเป็นแรงบันดาลให้แก่ประเทศไทยได้
มิตรต่างชาติทั้งหลายควรตระหนักถึงอุปสรรคทั้งทางสังคม วัฒนธรรมและการเมืองในการที่จะสร้างและทำให้วิสัยทัศน์ใหม่และระบอบประชาธิปไตยของไทยเกิดขึ้นได้ ต่างชาติควรจะยอมรับว่าวาระที่ยากยิ่งเช่นนี้เป็นเป้าหมายระยะยาว ผลสำเร็จนั้นไม่อาจเกิดขึ้นได้ช่วงเวลาข้ามคืน ผู้ที่เข้ามาแข่งขันแย่งชิงเพื่อควบคุมอํานาจทางการเมืองอาจจะกระทําในนามของหลักประชาธิปไตย แต่ความเป็นจริงในอีกสักช่วงเวลาหนึ่ง เราจะยังคงเห็นรัฐบาลที่ใช้อํานาจกึ่งเผด็จการ ที่อำพรางแนวคิดในลักษณะ “ประชาธิปไตยแบบชี้นำ” “ช่วงเวลาของการเตรียมตัว” หรือการใช้คำอื่นๆเพื่อบดบังความไม่ไว้วางใจที่จะมอบอนาคตของประเทศให้อยู่ภายใต้กระบวนการประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วมอย่างกว้างขวาง
ชาวต่างชาติควรมีความเห็นอกเห็นใจ เสนอคำวิพากษ์วิจารณ์ที่สร้างสรรค์ตรงไปตรงมา แต่ในขณะเดียวกันก็ให้กำลังใจอยู่เบื้องหลัง หลีกเลี่ยงการยื่นคำขาดต่อหน้าสาธารณะให้ประเทศไทยรีบจัดการเลือกตั้งโดนทันทีทันใดเพื่อ “กลับคืนสู่ความเป็นประชาธิปไตย” ซึ่งรังแต่จะสร้างความอิดหนาระอาใจ
เราเชื่อมั่นว่าประชาธิปไตยที่แท้จริงจะเกิดขึ้นในประเทศไทยในเวลาอันสมควร แต่แรงกดดันจากต่างประเทศไม่ว่าจะมากเพียงใดก็ตามจะไม่สามารถเร่งวันเร่งคืนให้วันนั้นมาถึงเร็วขึ้นได้ เมื่อใดที่คนไทยยอมรับว่าโครงสร้างค่านิยมในอดีตที่มิอาจหวนคืนมาไม่ว่าจะคงความตราตรึงในความทรงจำเพียงใดก็ตาม ไม่สอดคล้องกับความต้องการระบอบประชาธิปไตยในอนาคต เมื่อนั้นประเทศไทยจะก้าวกระโดดไปบนหนทางที่นำไปสู่ระบอบเสรีประชาธิปไตยที่ยั่งยืน
เมื่อไม่นานมานี้ หลายๆประเทศที่เคยมีรัฐบาลเผด็จการและมีลักษณะสังคมลำดับขั้น เช่น เกาหลี ไต้หวัน โปรตุเกส และสเปน ซึ่งต่างก็มีความภาคภูมิใจในเอกลักษณ์และวัฒนธรรมที่โดดเด่นของตน ได้ผ่านกระบวนการปรับเปลี่ยนปฏิรูปประเทศไปสู่ระบอบประชาธิปไตยที่มีคุณภาพสูงขึ้นและยึดหลักนิติรัฐอย่างเคร่งครัดโดยที่มิต้องละทิ้งวัฒนธรรมของชาติ ถึงเวลานี้ อนาคตของประเทศไทยขึ้นอยู่กับประชาชนชาวไทยทุกคนในการที่จะสร้างสิ่งที่พึงปรารถนาเหล่านี้ให้เกิดขึ้น
เหนือสิ่งอื่นใด คนไทยเท่านั้นที่จะเป็นผู้ตัดสินใจหารูปแบบของรัฐบาลที่ตนพึงปรารถนาและยอมรับได้ และไม่ว่าการตัดสินใจนั้นจะออกมาเป็นอย่างไร หวังเป็นอย่างยิ่งว่ารูปแบบการปกครองที่คนไทยพึงปรารถนานั้นจะอยู่บนพื้นฐานของวัฒนธรรมที่มีความเป็นประชาธิปไตยและสามารถนำประเทศไปสู่สังคมที่มีความยุติธรรมและเท่าเทียมกันในที่สุด
ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์เมื่อวันที่ 21พ.ค. 2558 และ 22 พ.ค. 2558