"เพชรสายรุ้ง" ชมพู่แพงที่สุดในโลก
ชมพู่เพชรสายรุ้งมีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมในเพชรบุรี และจะปลูกได้ผลดีแต่ใน จ.เพชรบุรี เท่านั้น
โดย...ไชยวัฒน์ สาดแย้ม
เพชรบุรีนั้นมีของดีหลายอย่าง โดยเฉพาะพืชผลเกษตรที่ขึ้นชื่ออย่าง มะนาวแป้นท่ายาง มะนาวเปลือกบาง ผลใหญ่ เมล็ดน้อยน้ำมาก นอกจากนี้ยังมี กล้วยหอมทอง เกรดส่งออกที่แต่ละปีมีมูลค่าสูง และที่ขึ้นชื่อก็คือน้ำตาลธรรมชาติที่มาจากน้ำตาลโตนด และผลไม้ที่ขึ้นชื่อลือชาอีกอย่างหนึ่งนั้น เห็นทีจะไม่มีอะไรเกินไปกว่า ชมพู่เพชรสายรุ้ง หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า ชมพู่เพชร อันเป็นชมพู่ที่มีรสชาติหวานกรอบ จนเป็นที่ถูกใจไปทั่วทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ แต่ที่แน่ๆ ต้องบอกเลยว่าเป็นชมพู่เงินล้าน และมีราคาแพงที่สุดในโลกไปแล้ว ด้วยราคากิโลกรัมละ 300 บาท
ยุทธนา เมืองเล็ก อดีตนายก อบต.หนองโสน อ.เมือง จ.เพชรบุรี เล่าว่า ชมพู่เพชรสายรุ้ง มีความโดดเด่นที่รสชาติความหวานกรอบอร่อย จนถือเป็นสุดยอดชมพู่ไม่ว่าใครที่มาเพชรบุรีเป็นต้องออกมาหาซื้อติดไม้ติดมือเอาไปเป็นของฝากอยู่เสมอๆ ยิ่งช่วงหน้าร้อนนี้เป็นช่วงที่ชมพู่เพชรสายรุ้งกำลังออกผลและจะมีรสชาติที่หวานจัดจ้าน จึงเป็นที่ถูกอกถูกใจของคนชอบกินผลไม้ยิ่งนัก
สำหรับ ชมพู่เพชร พันธุ์แท้ดั้งเดิมนั้น จะต้องเป็นพันธุ์ “ชมพู่เพชรสายรุ้ง” เท่านั้น ซึ่งเป็นการเรียกตามลักษณะของสีผิวที่จะมีสีเขียวอ่อนปนชมพู ส่วนก้นผลจะมีสีชมพูเข้ม รสชาติหวานอร่อยชื่นใจ เฉพาะชมพู่เพชรสายรุ้งเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้ใช้ชื่อว่า “ชมพู่เพชร” แต่หากเป็นชมพู่เพชรพันธุ์อื่นๆ เช่น ชมพู่เพชรสุวรรณ ชมพู่เพชรจินดา จะมีรสชาติไม่หวานกรอบเท่า รวมทั้งลักษณะสีผลยังเป็นสีเขียวปนแดง ต่างจากชมพู่เพชรสายรุ้งซึ่งเป็นที่นิยมมาแต่ดั้งเดิม
ยุทธนา บอกว่า ชมพู่เพชรสายรุ้ง ของ ต.หนองโสน เคยได้รับการคัดเลือกให้นำไปมอบให้แก่ผู้นำอาเซียน ในการประชุมอาเซียน เมื่อปี 2552 ที่ อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี นับเป็นความภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่งของชาวหนองโสน ที่มีอาชีพปลูกชมพู่พันธุ์เพชรสายรุ้งมาอย่างยาวนานนับชั่วอายุคน
ที่สำคัญ ชมพู่เพชรสายรุ้ง แม้แต่จะนำพันธุ์ไปปลูกที่อื่น แต่คุณภาพก็จะไม่ดีเท่ากับปลูกที่เมืองเพชรบุรี ดังนั้นการปลูกชมพู่เพชรสายรุ้งจึงทำรายได้ให้แก่เกษตรกรจำนวนมาก
“ชมพู่เพชรสายรุ้งมีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมในเพชรบุรี และจะปลูกได้ผลดีแต่ใน จ.เพชรบุรี เท่านั้น ถึงจะได้รสชาติที่หวานจัดเนื้อแน่น โดยเฉพาะในพื้นที่บ้านฉาง หมู่ 1 ต.หนองโสน อ.เมือง จ.เพชรบุรี จะเป็นชมพู่ที่ได้คุณภาพดีสูงสุด”
ยุทธนา บอกอีกว่า ที่สำคัญไม่มีการใช้ปุ๋ยเคมีหรือยาฆ่าแมลงที่เป็นสารพิษ แต่ผลิตปุ๋ยชีวภาพออกมาใช้กันเอง นอกจากนี้แล้วการกำจัดแมลงเราก็ใช้สารสกัดจากสะเดามากำจัดศัตรูพืช และจะมีการห่อป้องกันแมลงรบกวน หลังจากมีการเก็บผลผลิตในแต่ละวัน ก็จะนำมารวมกันที่ศาลากลางหมู่บ้าน ทำการคัดเกรด ขนาด ก่อนที่จะบรรจุชมพู่เกรดเอ แต่ละผลลงโฟมตาข่ายเพื่อกันช้ำ แล้วนำเข้า กทม.เพื่อจำหน่ายที่ตลาด อ.ต.ก.
สมหมาย กลิ่นสุวรรณ วัย 55 ปี บอกว่า ทำอาชีพปลูกชมพู่มาตั้งแต่เด็กๆ ปัจจุบันก็ประมาณ 42 ปี โดยทำต่อมาจากพ่อ ที่สวนมี 5 ไร่ ประมาณ 70 ต้น หลายต้นมีอายุไม่ต่ำกว่า 30 ปี ขายอยู่ที่กิโลกรัมละประมาณ 150-300 บาท ราคาขึ้นลงแล้วแต่ว่าจะเป็นช่วงไหนออกมากหรือน้อย ปัจจุบัน ชมพู่เพชรสายรุ้ง เป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวาง เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยว มีการคัดเกรดแล้วแพ็กนำไปส่งขายที่ตลาด อ.ต.ก.ในกรุงเทพฯ สำหรับนักท่องเที่ยวบางคนจะซื้อเอากลับไปทีละมากๆ ถึงครั้งละ 20-30 กิโลกรัม ไม่น่าเชื่อว่าชมพู่เพชรสายรุ้งจะไปได้ไกลขนาดนี้
ตำนาน 200 ปี
ความเป็นมาของการปลูกชมพู่เพชรสายรุ้งนั้น ปรากฏเรื่องเล่าต่อกันมาว่า นายหรั่ง แซ่โค้ว เกิดเมื่อปี พ.ศ. 2358 ตั้งบ้านเรือนอยู่ริมน้ำเมืองเพชรบุรี ฝั่งตรงข้ามวัดขุนตรา ซึ่งเดิมเรียกกันว่า "บ้านสะพานยายนม" นายหรั่งมีอาชีพค้าน้ำตาลทางเรือระหว่างเพชรบุรี-กรุงเทพฯ ต่อมานำกิ่งตอนพันธุ์ชมพู่มา 3 กิ่ง ไม่ปรากฏว่ามาจากสวนแห่งใด ชมพู่ทั้ง 3 กิ่งนี้เป็นชมพู่เพชรสายรุ้งรุ่นแรกที่นำมาปลูกในบริเวณแม่น้ำเพชรบุรี ซึ่งริมน้ำมีดินดี มีความร่วนซุย น้ำท่วมถึง มีปุ๋ยและอินทรีย์วัตถุอุดมสมบูรณ์ ที่เรียกว่า "น้ำไหลทรายมูล" มาทับถมอยู่ไม่ขาด เหตุนี้ชมพู่เพชรสายรุ้งจึงเจริญเติบโตงอกงามให้ผลดี สีสวยและมีรสชาติอร่อย แตกต่างไปจากชมพู่เขียวที่มีอยู่เดิม
ต่อมามีผู้ขอขยายพันธุ์ชมพู่เพชรสายรุ้งไปปลูกบ้าง แต่เจ้าของไม่ประสงค์จะให้ขยายพันธุ์ ดังนั้นในระยะแรกจึงยังไม่ได้แพร่พันธุ์ไปปลูกในที่แห่งใด ต่อมาช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 มีการตอนกิ่งจำหน่ายราคาประมาณกิ่งละ 200-250 บาท นับว่าเป็นราคาที่แพงมากในสมัยนั้น และภายหลังจากปี 2500 เป็นต้นมา กิ่งชมพู่เพชรสายรุ้งก็เป็นที่แพร่หลายไปอย่างกว้างขวางทุกพื้นที่ของ จ.เพชรบุรี
โดยชมพู่เพชรสายรุ้ง เป็นชมพู่ที่มีถิ่นกำเนิดในประเทศไทย เกิดจากการผสมพันธุ์ระหว่างชมพู่กะหลาป๋าของอินโดนีเซียกับชมพู่แดงของไทย อายุตั้งแต่เริ่มปลูกถึงเก็บเกี่ยวผลผลิตได้นั้นจะต้องมีอายุประมาณ 4-5 ปี แล้วแต่การบำรุงรักษา เป็นชมพู่ที่มีรสหวานกรอบ และราคาแพงที่สุดในบรรดาชมพู่ด้วยกัน แต่มีข้อจำกัดเนื่องจากทรงพุ่มค่อนข้างใหญ่ ต้นใหญ่เต็มที่จะสูงมากประมาณตึก 2 หรือ 3 ชั้น ดังนั้นจึงจำเป็นต้องทำนั่งร้าน ทำให้ต้นทุนสูงกว่าชมพู่พันธุ์อื่นๆ โดยแท้จริงแล้ว ชมพู่เพชรสายรุ้ง เป็นพันธุ์ที่ปลูกใน จ.เพชรบุรี มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2378