posttoday

รอนแรมที่ซัวเถา

06 มิถุนายน 2558

จากศาลเจ้าสังฟองเมี่ยว ที่เมืองเกี๊ยกหยอง ผมต้องนั่งเรือต่อไปยังเมืองซัวเถา ใช้เวลาชั่วโมงเศษ

โดย...ซิวซี แซ่ตั้ง

จากศาลเจ้าสังฟองเมี่ยว ที่เมืองเกี๊ยกหยอง ผมต้องนั่งเรือต่อไปยังเมืองซัวเถา ใช้เวลาชั่วโมงเศษก็ถึงเมืองซัวเถา จากนั้นเดินเท้าไปอีก 2 กิโลเมตร จึงจะถึงท่าเรือใหญ่

เมื่อถึงซัวเถาผมกังวลว่าเงินที่มีจะไม่พอกับการเดินทาง ผมหยิบเงินออกมาจัดแบ่งเป็นค่าเรือ 220,000 กวนกิม เพื่อจะดูว่ายังมีเงินเหลือเท่าไหร่ เพราะผมต้องอยู่ให้รอดถึงวันเดินทาง ซึ่งมีกำหนดจะออกเรืออีก 7 วันข้างหน้า

ผมนับเงินไปมาถึงได้รู้ว่า มีเงินเหลืออยู่แค่ 7,000 กวนกิม ซึ่งถือว่าน้อยนิดมากกับการที่ต้องใช้จ่าย 7 วัน ไหนจะค่าที่พักและค่าอาหาร ค่าที่พักซึ่งก็คือโรงเตี๊ยมราคาถูกๆ บนตรอกเล็กๆ ที่ชื่อว่า “ยุ่นฮั้นแก” นั้นตกคืนละ 300-400 กวนกิมเข้าไปแล้ว ไหนยังจะค่าอาหารที่แม้จะถูกแสนถูกก็ตกมื้อละ 500 กวนกิม หรือมากกว่านั้น

ผมมีสิทธิกินข้าวได้แค่วันละมื้อเดียวเท่านั้น ซึ่งคำนวณแล้วผมต้องใช้จ่ายเงินไม่เกินวันละ 1,000 กวนกิม เพื่อจะอยู่ให้ได้ถึงวันขึ้นเรือพอดี ผมหนักใจแต่ในใจก็บอกว่า ต้อง “อดทน”

อาหารหลักที่ผมกินได้วันละมื้อ ซึ่งผมจะกินตอน 5 โมงเย็น ขณะที่อยู่ซัวเถาคือ ข้าวต้มกับเต้าหู้ยี้ หรือบางทีก็กินผัดผักบุ้ง ผมกินทุกวัน แต่ไม่รู้สึกเบื่อ เพราะความที่ต้องอดสองมื้อแล้วกินมื้อเดียว ผมเลยกินมันอย่างเอร็ดอร่อยทุกวัน

ในช่วงที่รอเดินทางอยู่นี้ ทำให้ผมได้รู้ว่า แต่ละวันมีคนเดินทางมาซื้อตั๋วเตรียมออกเดินทางเป็นจำนวนมาก เฉลี่ยวันละ 400-500 คน ผมเหมือนกบในกะลา ที่เพิ่งออกมาสู่โลกกว้าง ได้รู้ได้เห็นกับตาว่า มีคนที่ต้องการเดินทางออกจากเมืองจีนไปเมืองไทยมากเหลือเกิน ประเทศไทยต้องดีอย่างที่คนเขาร่ำลือ เป็นเมืองอู่ข้าวอู่น้ำ ถ้าขยันไม่ขี้เกียจ รู้จักประหยัดเงินก็มีสิทธิรวย ผมเริ่มเชื่อมากขึ้นว่ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ

ในที่สุดก็ถึงวันเรือออก ระหว่างรอเวลาให้เรือออกจากท่านั้น ผมกำตั๋วเรือไว้แน่นราวกับกลัวว่ามันจะหล่นหาย เพราะมันคือสิ่งเดียวที่จะกำหนดอนาคต คือแผ่นกระดาษที่ราคาแพงที่สุดในโลกสำหรับผม ถ้ามันหายไป อนาคตผมต้องดับวูบแน่

ขณะที่ผมกำลังเดินเตร็ดเตร่อยู่แถวๆ ท่าเรือ ฉับพลันก็มีเสียงเรียกชื่อผมดังจากข้างหลัง

“ซิวซี!”

เมื่อหันไปตามเสียงก็ต้องตกใจ เพราะพี่สามซึ่งเป็นพี่ชายวัย 29 ปี ของผม ตรงเข้ามาประชิดตัวผมเสียแล้ว

วินาทีต่อมา ผมตั้งสติได้ แล้วคิดว่า

“เอาละ เป็นไงเป็นกัน” ผมพูดกับตัวเอง

“ซิวซี แกขโมยเงินแล้วคิดจะหนีใช่ไหม? เอาตั๋วไปแลกเงินคืน ไปคุยกันที่บ้าน”

“ไม่! ผมจะไปเมืองไทย ผมกลับไปที่บ้านก็คงไม่มีโอกาสอีกแล้ว กลับไปบ้านผมก็ไม่รู้ว่ามีเงินเหลือเท่าไหร่ ญาติที่เอาเงินไปมัดจำ ก็ไม่รู้ว่ามัดจำจริงหรือเปล่า เห็นเขาเลี่ยมฟันทองและยังประดับหยกรูปลูกท้อสีเขียวบนพื้น แถมยังซื้อเสื้อผ้าใหม่ๆ ไม่รู้ว่าเอาเงินมาจากไหน เงินที่ผมเอามาก็เป็นจำนวนเงินที่ครอบครัวจะให้ผมเป็นค่าเดินทางไปเมืองไทยอยู่แล้ว ผมไปก่อนจะไปทำงานหาเงินส่งคืนมาให้ที่บ้าน ซ้อที่จะไปเมืองไทย ถ้ามีปัญหาเรื่องเงินจริงผมส่งเงินมาให้แน่นอน พี่สามก็รู้ว่าผมเป็นคนยังไง ผมตั้งใจทำมาหากิน หาเงินได้ก็ให้ครอบครัวทั้งหมด ไปเมืองไทยครั้งนี้ก็เช่นกัน ผมสัญญาจะส่งเงินมาให้ที่บ้านทุกเดือน”

ผมพูดคุยกับพี่สามด้วยเหตุผล พร้อมกับขอความเห็นใจ จนในที่สุดพี่สามก็ไม่ขัดขวางที่ผมจะเดินทางลงเรือไปเมืองไทย เมื่อคุยกันจนเข้าใจดี พี่สามก็เล่าให้ฟังว่า วันที่ผมหนีออกจากบ้านมาเกิดอะไรขึ้นบ้าง

ผมได้รู้ว่าทุกคนตกใจที่เห็นผมหายไป ระดมคนออกตีเกราะ เคาะไม้ ตีระฆัง เพื่อตระเวนหาตัวผม พร้อมร้องเรียกชื่อผม บางคนคิดว่าผมอาจโดนเสือกินไปแล้วกระมัง เพราะหากเดินหลงเข้าไปในภูเขาแล้วอาจจะเจอเสือร้ายขบกัดได้เหมือนกัน ทุกซอกทุกมุมของหมู่บ้านก็ค้นหากันจนทั่วแล้ว แต่ไม่พบแม้แต่เงา จึงได้ถอยทัพกลับเข้าบ้านกัน แม่ร้องไห้ไม่หยุด ทุกคนเป็นห่วงผมมาก

หลายวันต่อมา พี่สามและซ้อสี่ เริ่มเอะใจรีบเปิดหีบใส่เงินดู จึงค่อนข้างมั่นใจว่าเกิดอะไรขึ้น “เงินในกำปั่นหายไป ซิวซีหายไป แสดงว่า ซิวซีต้องเป็นคนเอาไป” แล้วสรุปอย่างไม่ลังเล “ซิวซีเอาเงินไปซัวเถาแน่ๆ เพราะเงินนั้นพอดีกับที่จะไปจ่ายค่าตั๋วเรือไปเมืองไทยได้” และนั่นก็คือสาเหตุที่ทำให้พี่สามของผมตามมาจนถึงเมืองซัวเถา เพื่อตามล่าหาตัวผม

เขามาถูกทาง เพียงแต่ช้ากว่าผมไปเกือบสัปดาห์

“พี่ดีใจมากที่เจอลื้อ ลื้อไม่โดนเสือคาบไปกิน อย่างน้อยก็บอกแม่ บอกทุกคนในบ้านได้ว่าไม่ต้องห่วง ลื้อถึงเมืองไทยก็อย่าลืมเขียนจดหมายมาบอกทุกคน ที่นี่พี่จะช่วยดูแลให้ดี” พี่สามบอกผมไม่ต้องห่วงทางบ้าน

เมื่อเรือจะออกเดินทางจำเป็นต้องลงเรือแล้ว ผมดีใจ แต่ก็รู้สึกใจหาย เพราะคิดว่า นี่เรากำลังจะจากแผ่นดินเกิด...แผ่นดินจีนที่เกิดและโตมา ผู้คนที่จะเดินทางทยอยลงเรือไปเกือบหมดแล้ว เราสองพี่น้องยังยืนจับมือกันแน่น ต่อเมื่อผมจะต้องลงเรือจริงๆ พี่สามจึงสวมกอดผมไว้แน่น ผมได้สัมผัสถึงความรัก ความอาลัยที่พี่ชายส่งผ่านมาให้ผม ไม่บ่อยนักที่ผมจะได้เห็นพี่สามร้องไห้

ผมตื้นตันใจจนไม่อาจอดกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้ ต้องปล่อยให้มันไหลพรูออกมา

“ขอให้โชคดีนะซิวซี!”

เป็นเสียงของพี่สาม ที่หลุดลอดออกมาจากริมฝีปาก ผมพยักหน้าอยากจะพูด แต่เหมือนมีก้อนกลมๆ มาจุกอยู่ที่ลำคอ ทำให้ผมพูดไม่ออก ต้องพยายามฝืนกลืนมันลงไปอย่างยากลำบาก

 (อ่านต่อฉบับวันเสาร์หน้า)