เสียงจาก2ฝ่าย...ปมร้อน "ปิดทางเข้าบ้านตายาย"
ข้อเท็จจริงอีกด้านของกรณีพิพาท"ที่ดินตาบอด"ซอยเพชรเกษม15แยก5
เรื่อง...วรรณโชค ไชยสะอาด / ภาพ...ภัทรชัย ปรีชาพานิช
หลังจากที่โลกโซเชียลเน็ตเวิร์กได้เผยแพร่กรณีพิพาทเรื่องที่ดินภายในซอยเพชรเกษม 15 แยก 5 ซึ่งครอบครัวครูวัยเกษียณครอบครัวหนึ่งถูกเจ้าของที่ดินเอารั้วสังกะสีกั้นปิดทางเข้าออก ไม่สามารถออกไปไหนได้ ร้อนถึงชาวบ้านใกล้เคียงต้องนำอาหารเครื่องดื่มมามอบให้ด้วยความสงสาร
ประเด็นนี้กลายเป็นทอล์ก ออฟ เดอะทาวน์ทันที ฝ่ายหนึ่งรุมสาปแช่งเจ้าของที่ดินว่าใจร้ายไส้ระกำ กลั่นแกล้งคนไม่มีทางสู้ อีกฝ่ายเรียกร้องให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น รวมทั้งหาทางออกให้เรื่องนี้จบลงโดยเร็ว
ที่ดินตาบอด
เรื่องของเรื่องเกิดขึ้นเมื่อมีผู้แชร์ภาพถ่ายชีวิตความเป็นอยู่ของข้าราชการวัยเกษียณ 2 ราย และบิดาวัย 97 ปีอีกคนหนึ่งที่อาศัยอยู่ในบ้านซอยเพชรเกษม 15 แยก 5 มานานกว่า 70 ปี แต่วันดีคืนดีทางเข้าออกที่ใช้เป็นประจำถูกล้อมรั้วปิดตายจากเจ้าของที่ดิน ไม่สามารถออกไปใช้ชีวิตได้ตามปกติ จนเกิดการฟ้องร้องดำเนินคดีเป็นข่าวใหญ่โต
สุนีย์ พิเชษฐกิจ วัย 67 ปี เจ้าของบ้านหลังดังกล่าว ย้อนเล่าถึงจุดเริ่มต้นของกรณีพิพาทให้ฟังว่า บ้านหลังนี้ถูกเจ้าของที่ดินสร้างรั้วสังกะสีปิดทางเข้าออกมาตั้งแต่ปี 2551 ด้วยความที่มีแต่คนแก่วัยเกษียณ กับคุณพ่ออายุ 97 ที่เจ็บป่วยออดๆแอดๆต้องไปหาหมอเป็นประจำ ทำให้ประสบกับความยากลำบากมาก จึงตัดสินใจยื่นฟ้องแพ่งต่อศาลในประเด็น "เปิดทางภาระจำยอม" แต่ก็แพ้คดี โดยศาลให้เหตุผลว่ายังมีทางเข้าออกอื่นที่สามารถใช้ได้อีก ต่อมาจึงได้ฟ้องร้องอีกครั้งในประเด็น “ทางจำเป็น” และขอให้ศาลคุ้มครองชั่วคราว โดยระงับการกระทำใดๆก็ตามที่ถูกฟ้องร้อง จนกว่าจะมีคำตัดสิน ในที่สุดศาลมีคำสั่งให้เจ้าของที่ดินเปิดเส้นทางชั่วคราว
"ฟ้องครั้งเเรกเมื่อปี 51 แต่ศาลตัดสินว่าเราสามารถออกทางอื่นได้ ซึ่งทางอื่นที่ว่าก็คือคลองน้ำเน่าและพื้นที่ดินโคลนเละๆ คนแก่ๆจะเดินไปได้ยังไง ทำให้ช่วงนั้นครอบครัวลำบากมาก ต้องใช้วิธีรับส่งตะกร้ากับชาวบ้านที่เข้ามาช่วยส่งกับข้าวกับปลา น้ำดื่ม ยาต่างๆ จนลูกศิษย์มาเยี่ยมและทนเห็นเราในสภาพแบบนี้ไม่ได้ จึงโพสต์เฟซุบ๊ก เรื่องก็เลยเป็นกระแสขึ้นมา”
สุนีย์ยืนยันว่า ไม่เคยคิดขายที่ดินผืนนี้ทิ้ง และย้ายไปอยู่ที่อื่น
"ทำไมเราต้องขายที่ดินที่พ่อเเม่สู้รักษามาจนป่านนี้ ขายแล้วจะเอาเงินไปทำอะไร เราขออยู่กันเเบบชีวิตสมถะพอเพียง อยู่กับดินหญ้า ต้นไม้ ตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงตของพระเจ้าอยู่หัวแบบนี้แหละ อีกอย่างพื้นที่ 4 ไร่นี้ก็เป็นปอดให้คนพวกนี้หายใจอยู่ทุกวัน แบบนี้ไม่เป็นบุญคุณหรอ สมัยก่อนไม่เคยมีปัญหากับเจ้าของพื้นที่คนเก่าเลย สนิทและรักกันดี ต่อมาเมื่อเปลี่ยนเจ้าของนี่แหละ ปัญหาก็เลยเกิด"
อย่างไรก็ตาม จากการลงพื้นที่สังเกตการณ์บริเวณรอบบ้านหลังดังกล่าว พบว่า ทางเดินและคลองที่เป็นพื้นที่สาธารณะนั้นเต็มไปด้วยวัชพืชขึ้นรกสูง แถมยังมีคูเล็กๆขวางกั้น แทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะใช้เป็นทางสัญจรให้คนผ่านไปมาอย่างสะดวก
เคารพกฎหมาย-เลิกใช้โซเชียลกดดัน
ท่ามกลางกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางในโลกโซเชียล ลองไปฟังข้อเท็จจริงอีกด้านหนึ่งจากฝ่ายเจ้าของที่ดินคู่กรณีบ้าง
"ความจริงอีกด้านที่สังคมควรรับทราบคือ บ้านหลังดังกล่าวปลูกอยู่ในที่ดินของคนอื่น เเละโดนเจ้าของที่ตัวจริงฟ้องขับไล่ในคดีดำหมายเลข ดำ 3584/2550 เเดง 11106/2550 ของศาลจังหวัดตลิ่งชัน ซึ่งมีการพิพากษาเเล้ว ขณะนี้คดีอยู่ในชั้นฎีกา ซึ่งในการบังคับคดี ศาลฎีการะบุว่า "ไม่ได้ทุเลาให้จำเลยอยู่ต่อไปได้" หมายความว่า มีคำสั่งให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินตรงนี้ เเต่เขายังไม่ยอมรื้อ ประกอบกับคดีทางเเพ่งไม่มีโทษจำคุก จะดื้อเเพ่งยาวนานขนาดไหนก็สามารถทำได้
อย่างไรก็ตามกฎหมายให้สิทธิ์โจทย์ว่า เมื่อศาลพิพากษาถึงที่สิ้นสุดเเล้ว หากจำเลยยังดื้อเเพ่งอยู่ ผู้เป็นเจ้าของที่สามารถแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจมาดำเนินการตามคำพิพากษาได้ นี่คือข้อเท็จจริงที่ทางเราได้นำไปอธิบายต่อศาล ตอนนี้ผู้ที่อาศัยอยู่เขาอ้างว่าเป็นเจ้าของที่ โดยที่ไม่เคยมีใครถามหาโฉนดที่ดิน หรือขอดูชื่อเอกสารหลังโฉนดว่าเป็นชื่อของใคร" เป็นคำอธิบายของทนายความฝ่ายโจทย์ หรือเจ้าของที่ดินถึงปัญหาที่เกิดขึ้น
ทั้งนี้ หลังจากเจ้าของที่คนปัจจุบันซื้อที่ดินมาจากกรมบังคับคดี ก็ได้แจ้งกับทางเจ้าของบ้านหลังดังกล่าวว่าจะทำการปิดล้อมรั้ว ขอให้มาเจรจาตกลงกัน เเต่ฝ่ายนั้นกลับไม่มา เจ้าของที่ดินจึงทำช่องทางเข้าออกเป็นลักษณะตัว L
"เจ้าของบ้านบอกว่าทางเข้าออกมีความคับเเคบ จึงไปร้องเรียนเเละฟ้องคดีภาระจำยอมต่อศาลเเพ่งกรุงเทพใต้ ซึ่งสุดท้ายศาลก็วินิจฉัยเเล้วว่าการปิดรั้วของเราไม่ได้ไปละเมิดเขา เจ้าของที่ดินจึงเป็นฝ่ายชนะ ก่อนล่าสุดเขาจะมาฟ้องใหม่ในประเด็นทางจำเป็นอีกครั้ง”
ทนายความรายนี้อธิบายว่า การขอ"ทางจำเป็น" นั้นเป็นเรื่องยากที่เจ้าของที่ดินจะมอบพื้นที่ผ่ากลางที่ดินของตัวเอง เพราะต้องรับภาระเท่าที่จะรับได้ ไม่ใช่รับจนเสียมูลค่าที่ตัวเองซื้อขายมา
"ถ้าขอทางจำเป็นน่ะได้ หมายถึงชั่วชีวิตนะครับ แต่กรณีนี้ทางจำเป็นของคุณจะผ่ากลางที่ดินคนอื่นได้อย่างไร หากเรามองไปดูที่ดินตาบอดของที่อื่นที่มีภาระจำเป็น ตาบอดทั้ง 4 ทิศ เขาก็ต้องหาทางออกที่ใกล้เคียงกับทางสาธารณะมากที่สุด เเละไม่ให้เจ้าของที่ที่ถูกขอทางเข้าออกได้รับภาระจนเกินสมควรกว่าเหตุ สิ่งสำคัญคือคุณไม่ใช่เจ้าของที่ เพราะฉะนั้นไม่มีอำนาจขอทางจำเป็นอยู่เเล้ว
ทนายรายนี้ ระบุว่า ทางออกของปัญหาที่เกิดขึ้นจะต้องมีการเจรจาพูดคุย ก่อนให้เจ้าของบ้านหลังดังกล่าวเซ็นสัญญายินยอมว่า จะขอใช้พื้นที่ชั่วคราวจนกว่าทางเขตจะปรังปรุงพื้นที่ทางออกสาธารณะแล้วเสร็จ
"ถ้าพูดคุยตกลงกันน่าจะจบ เพราะก่อนหน้านี้ทางเขตก็ได้บอกแล้วว่า สามารถออกทางสาธารณะได้เเต่ต้องใช้เวลาในการทำ พูดง่ายๆรองบประมาณนั่นเอง ฉะนั้นเจ้าของบ้านก็ควรไปเร่งให้เขตดำเนินการ ไม่ใช่มาอ้างจนกระเเสสังคมหรือทางโลกออนไลน์มากดดันจนทำให้ทุกคนมองภาพคนเป็นเจ้าของที่ดินเสียหาย"
ความจริงอีกด้านจากเจ้าของที่ดิน
นิตยา ตันติบุญชูวงศ์ เจ้าของที่ดินผืนดังกล่าว เปิดเผยกับโพสต์ทูเดย์ออนไลน์สั้นๆว่า รู้สึกเครียดและเสียใจมากกับกระแสสังคมที่เกิดขึ้น ทุกอย่างล้วนเป็นเรื่องโกหก ไม่ว่าจะเป็นการกล่าวหาว่าเป็นนายทุนใหญ่ หรืออยากครอบครองที่ดินผืนนั้นจนต้องกลั่นแกล้งเจ้าของบ้าน
"อยากจะขอความเห็นใจจากสื่อว่า ช่วยนำเสนอข้อเท็จจริงให้ครบถ้วน เพื่อความเป็นธรรมของทั้งสองฝ่าย"
ขณะเดียวกันเว็บไซต์พันทิปได้มีผู้ตั้งกระทู้ชื่อ "ครอบครัวผู้สูงอายุ ถูกนายทุนล้อมที่ดินปิดทางเข้า-ออกบ้านที่อยู่มา 70 ปี ตำรวจมาช่วยพาไปรพ. กลับถูกฟ้องด้วย!" (http://pantip.com/topic/33928053) โดยมีสมาชิกหมายเลข 2507840 ซึ่งระบุว่าเป็นหลานสาวของเจ้าของที่ดิน ได้โพสต์ชี้แจงข้อเท็จจริงบางอย่างที่น่าสนใจดังนี้
"ขอชี้แจงแทนคู่กรณีนะคะซึ่งเป็นน้าของดิฉันเอง เนื่องจากท่านไม่เคยข้องแวะอะไรในโลกโซเชี่ยลใบนี้ คู่กรณีก็เป็นผู้หญิงแก่ๆคนนึงไม่มีครอบครัว อายุ 60 ย่าง 70 ได้ซื้อที่แปลงนี้เมื่อหลายปีก่อน...เพราะทำเลใกล้บ้าน ท่านไม่ได้เป็นนายทุนใหญ่มาจากไหนเลยค่ะ ..ก็คือคนทำมาหากินอดออม เริ่มจากศูนย์ เก็บเงินจนแก่....พอมีเงินก็ซื้อทรัพย์สินเก็บไว้ให้หลานๆ...ซื้อมาก็ยังไม่ได้คิดจะทำอะไร ก็เก็บค่าเช่าบ้านเดิมๆที่อยู่บนที่ดินผืนนี้
ตั้งแต่ช่วงแรกๆที่ซื้อมา เรามีความพยายามเจรจามาโดยตลอด ให้ทางบ้านตายายมาเซ็นยินยอมขอใช้ทาง แต่ตายายไม่มาเซ็น เพราะท่านต้องการให้ที่ของเราเป็นที่สาธารณะ ซึ่งเราไม่สามารถทำได้จริงๆ จึงเป็นเหตุให้เกิดการฟ้องร้องกันขึ้นค่ะ และศาลฎีกาเพิ่งจะสิ้นสุดลงก่อนเกิดเรื่องลงในโลกโซเชี่ยลนี่ค่ะ วันเกิดเหตุ เรายังไม่ได้รับหมายศาลคุ้มครองชั่วคราว พอมีคนมารื้อทางทนายก็ได้บอกว่าต้องแจ้งความไว้ก่อนเพื่อเป็นการรักษาสิทธิ์ของเรา
ส่วนสาเหตุที่เราต้องปิดรั้ว เรื่องจากคุณตาคุณยาย ต้องการให้เป็นที่สาธารณะ ซึ่งเราทำไม่ได้จริงๆ อย่างที่บอกเราพร้อมจะเจรจาเปิดทางเสมอ ตั้งแต่ปี 51 เพียงแต่ต้องขอให้ทางคุณตายายมาเซ็นยินยอมขอใช้ทางเพื่อความถูกต้องค่ะ เพราะคงไม่มีใครๆอยากขึ้นโรงขึ้นศาลบ่อยๆนะคะ อีกเรื่องที่จะขอชี้แจงนะคะ เราไม่เคยใช้วิธีการข่มขู่อะไรทั้งสิ้น ไม่ทราบเหมือนกันว่าโพสต้นฉบับเขียนแบบนี้ได้ยังไง บอกเราจะซื้อที่ต่อ เราเลยข่มขู่สารพัด เราไม่มีเงินขนาดนั้นค่ะ เราไม่ใช่ผู้มีอิทธิพลอะไรเลย ทำมาหากินสุจริต คนงานที่มีก็คือเสมียน ในคลิป และก็แม่บ้านเท่านั้นเองค่ะ
และที่สำคัญเท่าที่ทราบมีข่าวว่า ที่ดินดังกล่าวก็กำลังมีกรณีพิพาท ฟ้องขับไล่กับเจ้าของที่ตัวจริงอยู่ค่ะ คงไม่มีใครคิดซื้อที่ดินที่มีปัญหามากมายแบบนี้ค่ะ จากที่เงียบมานาน เพราะคนรอบข้างบอกว่าใจเย็นๆอย่าตอบโต้เลย แต่วันนี้ต้องลุกขึ้นมาขอชี้แจง เพราะสงสารน้า แกก็คือคนแก่คนนึงเหมือนกันที่หากินสุจริต กับต้องมาโดนต่อว่าต่างๆนานา แช่งชักหักกนะดูก ทั้งๆที่ไม่รู้จักเราเลย ไม่คิดเลยจริงๆค่ะว่าจะมีคนใกล้ตัวโดนแบบนี้"
กรณีข้อพิพาทในประเด็นที่ดินตาบอดเป็นปัญหาที่พบเห็นได้ทุกยุคทุกสมัย ความเป็นธรรมน่าจะอยู่ที่การจัดสรรพื้นที่ร่วมกันของทั้งสองฝ่าย บนพื้นฐานของข้อกฎหมายและจริยธรรม