ปัญหาประมงไทย
โดย...พริมา อัครยุทธ
โดย...พริมา อัครยุทธ
EU ได้ให้ “ใบเหลือง” กับไทยจากปัญหา IUU Fishing หลังจากที่ก่อนหน้านี้ไทยถูกปรับลดอันดับไปอยู่ใน Tier 3 จากรายงานสถานการณ์การค้ามนุษย์ของสหรัฐ ไปเมื่อเดือน มิ.ย. 2014 โดยการให้ใบเหลือง หรือประกาศเตือนอย่างเป็นทางการของ EU ในครั้งนี้ มีความแตกต่างจากการลดอันดับใน TIP Report ของสหรัฐ เนื่องจาก TIP Report เป็นเครื่องมือทางการทูตที่ใช้ผลักดันให้รัฐบาลของประเทศต่างๆ แก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ แต่ไม่มีมาตรการตอบโต้ทางการค้าใดๆ
ในขณะที่กฎระเบียบ IUU ของ EU ถูกร่างขึ้นเพื่อช่วยขจัดปัญหาการทำการประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (IUU Fishing) โดยเฉพาะ โดยเพิ่มมาตรการคว่ำบาตรการนำเข้าอาหารทะเลจากประเทศที่เพิกเฉยต่อการแก้ไขปัญหา IUU Fishing เข้าไป
ผลที่ตามมาคือ ไทยจะมีเวลา 6 เดือนในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกคว่ำบาตรการนำเข้าอาหารทะเลจาก EU โดยจะมีการตรวจสอบและประเมินความคืบหน้าของปัญหาดังกล่าวนี้อีกครั้งในเดือนต.ค.นี้
กฎระเบียบ IUU ครอบคลุมถึงเรือประมงในทุกสัญชาติ ทุกประเภทและทุกน่านน้ำ ที่มีการเดินเรือทั้งจากและไปยัง EU และเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าว EU จึงได้กำหนดให้ต้องมีการชี้แจงถึงแหล่งที่มาและความถูกต้องทางกฎหมายของการทำประมง และจำแนกกลุ่มประเทศที่เกี่ยวข้องออกเป็น 3 กลุ่ม คือ (1) กลุ่มที่ไม่เกี่ยวข้องกับ IUU Fishing (2) กลุ่มประเทศที่ได้รับ “ใบเหลือง” ตักเตือนให้มีการปรับปรุงแก้ไข (3) กลุ่มประเทศที่ได้รับ “ใบแดง” ซึ่งจะโดนคว่ำบาตรการนำเข้าสินค้าประมง
อุตสาหกรรมประมงไทยอาจสูญเสียมูลค่าการส่งออกสูงถึง 500 ล้านเหรียญสหรัฐ หากไทยไม่สามารถแก้ไขปัญหา IUU Fishing ได้
ขณะที่ในปี 2014 ประเทศไทยถือเป็นผู้ส่งออกสินค้าประมงรายใหญ่นับเป็นอันดับ 3 ของโลก โดยมูลค่าการส่งออกปลา กุ้ง ปลาหมึก และอาหารทะเลแปรรูปไปยัง EU สูงถึงราว 700 ล้านเหรียญสหรัฐ/ปี (คิดเป็น 12% ของมูลค่าการส่งออกสินค้าประมงโดยรวมของไทย)
อีไอซี ประเมินว่า ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นในกรณีที่ประเทศไทยโดนคว่ำบาตรทางการค้าอาหารทะเลจาก EU จะอยู่ที่ประมาณ 200-300 ล้านเหรียญสหรัฐ ในกรณีเลวร้ายที่สุดอาจสูงถึง 500 ล้านเหรียญสหรัฐ หากผู้ประกอบการฟาร์มกุ้งไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าปลาป่นที่ใช้เป็นอาหารกุ้งนั้นไม่เกี่ยวข้องกับ IUU Fishing
ศูนย์บัญชาการการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย (ศปมผ.) ภายใต้รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหาการประมงที่ผิดกฎหมายในประเทศไทย อีกทั้งยังมีการจัดตั้งศูนย์ควบคุมการแจ้งเรือเข้า-ออก หรือ Port-in-port-out จำนวน 28 แห่งในจังหวัดชายทะเลทั่วประเทศ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจตราและตรวจสอบ รวมถึงควบคุมเรือประมงที่มีระวางบรรทุกมากกว่า 30 ตันกรอส โดยเรือดังกล่าวต้องแจ้งข้อมูล อาทิ รหัสใบอนุญาต ชนิดเครื่องมือจับปลา และข้อมูลลูกเรือแก่ศูนย์ควบคุมภายใน 24 ชั่วโมง ก่อนการเข้าหรือออกจากท่าเรือ
นอกจากนี้รัฐบาลยังได้เริ่มใช้พระราชบัญญัติการประมงฉบับใหม่ โดยปรับปรุงมาตรการควบคุมเรือเข้า-ออก และมีบทลงโทษผู้กระทำประมงผิดกฎหมายอย่างเด็ดขาด
ขณะที่ภาคเอกชนและผู้ที่เกี่ยวข้องอื่นๆ ยังได้มีการรวมกลุ่มจัดตั้ง Task Force หรือกลุ่มทำงานเฉพาะกิจขึ้น เพื่อสนับสนุนการแก้ไขปัญหาดังกล่าวนี้ กลุ่มทำงานเฉพาะกิจประกอบด้วย ผู้ผลิต ตัวแทนจากหน่วยงานภาครัฐ องค์กรที่ไม่แสวงผลกำไร (NGOs) และผู้ค้าปลีกชั้นนำ อาทิ Costco, WM Morrison Supermarkets, Sodexo, เจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF), ไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่น (TUF), องค์กร Oxfam เป็นต้น
ผู้ผลิตเหล่านี้ได้ประกาศเลิกทำสัญญาและหยุดซื้อวัตถุดิบจากคู่ค้าที่ฝ่าฝืนพระราชบัญญัติการประมง 2558 หรือเกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ ซึ่งความร่วมมือดังกล่าวนั้นยังรวมถึงนโยบาย Shrimp Task Force ซึ่งผู้ประกอบการจะลดการใช้ปลาป่นจากเรือประมงให้เหลือเพียง 10-20% และหันไปใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหลือจากอุตสาหกรรมปลาทูน่าและซูริมิแทน
อย่างไรก็ตาม ปัญหา IUU Fishing นั้นยังไม่มีความชัดเจนว่าจะได้รับการแก้ไขได้อย่างทันท่วงทีหรือไม่ ดังนั้นภาคเอกชนควรเตรียมพร้อมเพื่อรับมือกับสถานการณ์ในอนาคต นอกเหนือไปจากการขยายฐานลูกค้าไปยังตลาดใหม่ๆ แล้ว การนำเข้าวัตถุดิบจากประเทศที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับการทำประมงผิดกฎหมาย เช่น เวียดนาม ไต้หวัน หรือญี่ปุ่น ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งของภาคเอกชนในการปรับตัวระยะสั้นระหว่างรอความชัดเจนจาก EU
ไม่ว่าการตัดสินใจของ EU จะเป็นอย่างไร อีไอซีมองว่าภาคเอกชนหลายรายมีแนวโน้มที่จะขยายธุรกิจไปยังตลาดอื่นมากขึ้น โดยเฉพาะในอินเดียและเวียดนามที่มีความพร้อมอยู่แล้ว อีกทั้งยังเป็นประเทศที่ได้รับสิทธิพิเศษทางภาษี (GSP) จาก EU อีกด้วย นับตั้งแต่ต้นปี 2015 นอกจากการได้ใบเหลืองตามกฎระเบียบ IUU แล้ว ผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์ประมงไทยยังได้รับแรงกดดันจากการที่ไทยถูกตัดสิทธิ GSP ของ EU ซึ่งเป็นสิทธิที่ให้แก่ประเทศกำลังพัฒนา โดยงดเว้นหรือลดการภาษีอากรให้กับสินค้านำเข้าจากประเทศนั้นๆ
ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว ผู้ประกอบการหลายรายจึงแก้ปัญหาด้วยการจัดหาแหล่งวัตถุดิบใหม่เพิ่มเติมและสร้างโรงงานแปรรูปในต่างประเทศ เพื่อส่งออกอาหารทะเลไปยัง EU จากประเทศที่ยังคงได้รับสิทธิ GSP