รวบแก๊งบึ้ม พบระเบิดซุกอพาร์ตเมนต์อื้อยันเอี่ยวราชประสงค์-สาทร
เมื่อวันที่ 29 ส.ค.ที่ผ่านมา พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุลผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.)
เมื่อวันที่ 29 ส.ค.ที่ผ่านมา พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุลผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารกว่า 100 นาย สนธิกำลังเข้าค้นอพาร์ตเมนต์ย่านหนองจอกตั้งแต่เช้า และสามารถควบคุมตัวชายผู้ต้องสงสัยชาวต่างชาติ 1 ราย ซึ่งหลักฐานยืนยันว่ามีส่วนเชื่อมโยงกับการก่อเหตุระเบิดที่แยกราชประสงค์และท่าเรือสาทร เมื่อวันที่ 17 ส.ค. และวันที่ 18 ส.ค.ที่ผ่านมา
ผลการตรวจค้นพบวัตถุระเบิดและวัตถุประกอบระเบิดจำนวนมาก อาทิ ฝักแค ลูกปืนจักรยานยนต์เป็นแพ็กมีสติ๊กเกอร์ติดอยู่เพื่อสะดวกในการประกอบระเบิด ท่อเหล็กเป็นคอนเทนเนอร์ ฝาครอบ ซึ่งเป็นประเภทและชนิดเดียวกับที่ใช้ก่อเหตุบริเวณแยกราชประสงค์และท่าเรือสาทร
นอกจากนี้ จากการสืบสวนคาดว่ากลุ่มผู้ต้องสงสัยมีด้วยกันหลายคน และได้เช่าห้องในอพาร์ตเมนต์นี้ไว้หลายห้อง เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ยืนยันว่า ผู้ต้องสงสัยรายดังกล่าวมีความเชื่อมโยงกับเหตุระเบิดทั้งสองเหตุการณ์
ด้าน พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) แถลงภายหลังลงพื้นที่ตรวจค้นว่า เบื้องต้นได้แจ้งข้อหามีวัตถุระเบิดไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และมั่นใจว่าผู้ต้องหาที่ควบคุมตัวได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่ราชประสงค์แน่นอน เนื่องจากหลักฐานที่พบเป็นของกลางชนิดเดียวกันหรือคล้ายกัน
“ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะควบคุมตัวได้มีการสืบสวนหาข่าวและพยานหลักฐานหลายอย่างประกอบจนมีความมั่นใจว่าเป็นคนร้ายที่ทำกันเป็นขบวนการ และทำผิดกฎหมายมาตั้งแต่ต้น เจ้าหน้าที่ทราบว่าคนกลุ่มนี้มาอย่างไร เป็นใคร และก่อเหตุเพื่ออะไร อย่างที่เคยบอกว่าน่าจะมีประมาณ 10 คน”พล.ต.อ.สมยศ กล่าว
ผบ.ตร.ย้ำว่า กลุ่มคนที่ก่อเหตุน่าจะเจ็บแค้นส่วนตัวแทนพี่น้อง และน่าจะมาประเทศไทยตั้งแต่เดือน ม.ค. 2557 ไม่น่าจะเป็นการก่อการร้ายข้ามชาติ บางคนอาจจะหลบหนี หรืออาจจะออกนอกประเทศไปแล้ว ส่วนรายละเอียดที่เหลือจะต้องสอบปากคำเพิ่มเติม และทำผิดกฎหมายมาตั้งนานแล้ว
“เบื้องต้นไม่น่าจะเกี่ยวกับเรื่องการก่อการร้ายข้ามชาติ แต่เป็นการโกรธแค้นส่วนตัว แก้แค้นแทนพรรคพวกที่ถูกจับกุม ขณะนี้ทหารได้ควบคุมตัวตามมาตรา 44 และหากครบกำหนดระยะเวลาก็จะส่งตัวให้พนักงานสอบสวนต่อไป” พล.ต.อ.สมยศ กล่าว
สำหรับการปฏิบัติการเข้าค้นในครั้งนี้เป็นห้องพักเลขที่ 412 และ 414 พูลอนันต์อพาร์ทเมนท์ เลขที่ 134/5 ปากซอยเชื่อมสัมพันธ์ 11 แขวงกระทุ่มราย เขตหนองจอก กรุงเทพมหานคร (กทม.) โดย พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ ผู้ช่วย ผบ.ตร. ในฐานะโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แถลงผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ว่า ชายชาวต่างชาติที่จับกุมได้ อายุ 28 ปี ยังไม่สามารถระบุสัญชาติที่แน่ชัดได้ เนื่องจากผลการตรวจสอบพาสปอร์ตพบว่าเป็นพาสปอร์ตปลอม
“โดยพาสปอร์ตปลอมระบุว่าเป็นพาสปอร์ตตุรกี การตรวจพบชิ้นส่วนบอล แบริ่ง หรือลูกปราย ขนาด 0.5 มิลลิเมตร มีความคล้ายคลึงกับวัตถุพยานที่เจ้าหน้าที่เก็บได้จากเหตุระเบิดที่แยกราชประสงค์ เมื่อวันที่ 17 ส.ค. และเหตุระเบิดที่ท่าเรือสาทร วันที่ 18 ส.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งจากการสืบสวนของเจ้าหน้าที่เชื่อได้ว่าผู้ต้องสงสัยรายนี้มีส่วนเกี่ยวข้องหรืออยู่ในกลุ่มเดียวกันกับกลุ่มบุคคลที่ก่อเหตุเมื่อวันที่ 17-18 ส.ค.ที่ผ่านมา” พล.ต.ท.ประวุฒิ ระบุ
พล.ต.ท.ประวุฒิ กล่าวอีกว่า ผู้ต้องสงสัยรายนี้ไม่ใช่มือวางระเบิด แต่เป็นผู้ร่วมขบวนการ ขณะนี้เจ้าหน้าที่ทหารได้ควบคุมตัวไปสอบสวนต่อในค่ายทหารแห่งหนึ่ง
พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวว่า มาตรการขณะนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร พลเรือน และอาสาสมัคร ยังให้การเฝ้าระวังในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะพื้นที่ชายแดนที่มีการเดินทางเข้าออก ซึ่ง ผบ.ทบ.ได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบเข้มข้นในการเฝ้าระวัง นอกเหนือจากการปรับมาตรการรักษาความปลอดภัยในพื้นที่ท่องเที่ยว
อย่างไรก็ตาม การติดตามจับกุมคนร้ายจนสามารถเชื่อมโยงเครือข่ายและนำไปสู่การจับกุมคนร้ายได้ในที่สุด เป็นความร่วมมือกันระหว่างตำรวจที่เชี่ยวชาญการใช้เทคโนโลยีแกะรอยผ่านการใช้โทรศัพท์มือถือในนครบาลและตำรวจสอบสวนกลาง
ทั้งนี้ ปฏิบัติการดังกล่าวเริ่มเมื่อราวสัปดาห์ที่ผ่านมา พล.ต.อ.สมยศ ได้สั่งการให้ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา รอง ผบ.ตร. เรียกทีมสืบสวนที่เชี่ยวชาญเรื่องนี้เข้าร่วม อาทิ พล.ต.ต.รณศิลป์ ภู่สาระ รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง พล.ต.ต.ชาญเทพ เสสะเวช รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล พ.ต.อ.อิทธิพล อัจฉริยะประดิษฐ์ รองผู้บังคับการกองปราบปราม
พ.ต.อ.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ ผู้กำกับการ 3 กองบังคับการสืบสวนสอบสวนนครบาล พ.ต.อ.ชุมพล ศักดิ์สุรีย์มงคล ผู้กำกับการ 2 กองบังคับการสืบสวนสอบสวน ศูนย์ปฏิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นต้น
ชุดสืบสวนได้ตรวจสอบการใช้โทรศัพท์มือถือในช่วงเวลาเกิดเหตุจนกระทั่งค่อยๆ ตัดหมายเลขที่ไม่เข้าข่ายต้องสงสัยออกไป โดยใช้เวลาราว 1 สัปดาห์ พบว่ามีหมายเลขที่เข้าข่ายผู้ต้องสงสัยอยู่ 3 หมายเลข และทั้ง 3 หมายเลขเป็นการโรมมิ่งมาจากประเทศตุรกี พร้อมกับติดตามการใช้งานในวันต่อๆ มา ก่อนจะพบเป้าหมายเคลื่อนไหวอยู่ที่อพาร์ตเมนต์ย่านหนองจอก
เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนตั้งข้อสังเกตว่า เป้าหมายอีก 2 ราย ซึ่งพบการใช้โทรศัพท์มือถือ อาจเป็นมือวางระเบิดที่แยกราชประสงค์และท่าเรือสาทร คงหลบหนีออกนอกประเทศไปแล้ว แต่รายที่จับกุมได้มีปัญหาเรื่องพาสปอร์ตปลอม