"มิตร" เด็กหาบน้ำวังแดง สู่เจ้าสัวโรงแรมเอ-วัน

03 กันยายน 2558

"คนเราเกิดมาต้องซื่อสัตย์ ใจของเราอย่าไปคิดอยากได้ของเขา เปรียบได้กับสุภาษิตหนึ่งที่ว่า เลี้ยงแขกทุกวันไม่เห็นจน ขโมยทุกคืนไม่เห็นรวย"

เรื่อง...จารุพันธ์ จิระรัชนิรมย์ / ภาพ...วีรวงศ์ วงศ์ปรีดี

คนไทย-คนจีนมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้น ส่วนหนึ่งเพราะสัมพันธ์ทางสายเลือดที่ผสมกลมกลืนกันมาตั้งแต่รุ่นบรรพบุรุษ ซึ่งเกิดการอพยพจากจีนมาเมืองไทยหลายครั้ง ด้วยเหตุผลต่างๆ กัน เช่น เดินทางมาค้าขาย เดินทางมาเพราะหนีความยากจนจากจีน มีแค่เสื่อผืนหมอนใบ มาแสวงหาโอกาสในเมืองไทยที่อุดมสมบูรณ์ สร้างเนื้อสร้างตัวจนเป็นมหาเศรษฐีกันหลายราย

มิตร รัตนโอภาส ผู้ก่อตั้งโรงแรมเอ-วัน กรุงเทพฯ-พัทยา ชายวัย 87 ปี ผู้ผ่านร้อนผ่านหนาวมาอย่างโชกโชน ก็เป็นหนึ่งในคนจีนยุคเสื่อผืนหมอนใบที่มาเมืองไทย เล่าความหลังเมื่อครั้งยังเยาว์วัยให้ฟังว่า เขาเป็นบุตรชายคนเดียวของครอบครัวชาวนาที่แสนยากจน อาศัยอยู่ในหมู่บ้านอ้าวก้าง บนเกาะไหหลำ มีชื่อจริงว่า "ฉีเป็กกวง" ส่วนชื่อเล่นก็คือ "โบ๊ะเคียบ" แปลว่า เจ้าตัวร้าย

ด้วยความที่เป็นคนยากจน ในวัยเด็ก คุณพ่อของเขาจึงจากเขาและแม่ มาแสวงหาโชคชะตาใหม่ที่เมืองไทย ตามกระแสของชาวจีนในสมัยนั้น ซึ่งคุณพ่อหวังว่าจะสร้างรายได้ และส่งเงินกลับมาเลี้ยงลูกเมียที่เมืองจีน หรือหาทางลงหลักปักฐานในไทย เพื่อรับลูกเมียจากจีนมาอยู่ด้วยกันในอนาคต ส่วนช่วงระหว่างรอนั้น ตัวเขาและแม่ ต้องอาศัยอยู่ในเมืองจีนอย่างยากลำบาก ขาดแคลนอาหาร ขณะที่เครื่องนุ่งห่มยิ่งไม่ต้องพูดถึง เพราะขนาดเขาอายุได้ 4-5 ขวบแล้ว ก็ยังไม่มีกางเกงจะใส่เลย

เด็กชายโบ๊ะเคียบในเวลานั้น ต้องอดทนฝ่าฟันชะตากรรมความยากลำบากกับแม่ บนเกาะไหหลำ จนกระทั่งอายุได้ 11 ขวบ ในช่วงเวลานั้นเกิดสงครามนานกิง มีการทิ้งระเบิดบนเกาะไหหลำ ขณะที่พี่ชายของแม่ (ลุง) ซึ่งมาอยู่ไทยก่อนแล้ว ได้เดินทางกลับไปเยี่ยมบ้านเกิดพอดี แม่จึงตัดสินใจส่งเด็กชายโบ๊ะเคียบลงเรือมากับพี่ชายของแม่ เพื่อข้ามน้ำข้ามทะเลมาอยู่กับพ่อ และอาศัยพึ่งพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและผืนแผ่นดินไทย ซึ่งในเวลานั้น อย่าว่าแต่เสื่อผืนหมอนใบ เพราะแม้แต่รองเท้าจะสวมใส่ เด็กชายโบ๊ะเคียบยังต้องยืมคนอื่นมาเลย

“คนจีนที่มาเมืองไทยในสมัยนั้น ก็เพราะไม่มีข้าวจะกินแล้ว เมื่อมาถึงเมืองไทยคุณลุงก็พาผมมาอยู่กับคุณพ่อของผม ซึ่งอาศัยที่ย่านยมราชขายน้ำแข็งกด พ่อก็พาไปเป็นเด็กเสิร์ฟในร้านน้ำชา เวลานั้นไม่รู้จักภาษาไทยเลย หัวหน้าสั่งงานก็ต้องสั่งด้วยภาษาใบ้ แต่ระหว่างนั้นก็หัดเรียนรู้ภาษาไทยมาบ้าง และตั้งใจทำงาน ช่วยหาบน้ำ ทำความสะอาดร้าน เวลาหิวก็รับประทานอาหารที่เหลือในร้าน ทำงานไม่นานก็ขอกลับมาอยู่กับพ่อ ซึ่งพ่อก็ยังลำบากไม่สามารถเลี้ยงดูได้ จึงส่งไปอยู่กับลุงคนเดิมที่พาลงเรือมา” มิตร กล่าว

ภายหลังได้มาอาศัยกับคุณลุงที่ย่านวังแดง มิตรก็ช่วยดูแลลูกที่ยังเล็กของลุง พอโตขึ้นมาหน่อยลุงก็ส่งมิตรไปเรียนโรงเรียนใกล้บ้านในช่วงเช้าและพอถึงช่วงบ่ายหลังเลิกเรียน ก็ให้ช่วยทำงานหาบน้ำวันละ 30 หาบ แลกกับเงินค่าจ้างเดือนละ 9 บาท ซึ่งในสมัยนั้นการอาศัยอยู่ในเมืองไทยยังลำบาก เพราะห้องแถวไม่มีน้ำประปาใช้ แต่แถวสะพานเหล็กที่ขายเนื้อ ในซอยนั้นมีน้ำก๊อกของรัฐบาลอยู่ เขาต้องไปต่อแถวยาว เพื่อรอนำน้ำใส่หาบกลับไปเที่ยวละ 2 หาบ

ในบางครั้งก็ต้องต่อยตีกับคนที่ไปยืนรอหาบน้ำเหมือนกันบ้างก็มี เมื่อหาบน้ำเสร็จแล้ว มีเวลาว่างก็จะไปดูช่างตีทอง ทำอย่างนี้เรื่อยมา จนกระทั่งเถ้าแก่ร้านทำทองเห็นว่า เด็กคนนี้มายืนดูอยู่หลายครั้งแล้ว จึงชักชวนให้มาหัดงานด้วย

จากความอยากรู้และสนใจของมิตรในครั้งนี้ เป็นจุดเปลี่ยนจุดแรกที่ทำให้มิตรได้ก้าวเข้าสู่วงการทำทอง โดยเมื่อได้เข้าไปทำงานในร้านตีทอง สมัยนั้นไม่ใช่ว่าจะได้หัดงานทำทองเลย ก็ต้องไปหุงข้าวให้คนในร้านทองกิน คอยวิ่งไปซื้อกับข้าวตามคำสั่ง ล้างถ้วยล้างชามให้ด้วย ก่อนที่จะได้หัดงาน และเมื่อได้หัดทำทองจนเป็นได้ 1 ปี ก็ได้รับการบรรจุเป็นพนักงานประจำ จากนั้นมิตรก็ได้ต่อยอดประสบการณ์ไปสู่การหัดฝังพลอย ลงยา และลงนามสกุลบนทอง และหัดทำเพชรด้วย

มิตร ทำอย่างนี้เรื่อยมากระทั่งอายุย่าง 23 ปี ก็มีเพื่อนที่ทำเพชรแนะนำให้รู้จัก ฮุ่นเซียงหลั่น (วันทนา รัตนโอภาส) ซึ่งก็ใช้เวลาดูตัวกันอยู่ 1 ปี จนตกลงใจแต่งงานกัน และหลังแต่งงานก็ได้เปลี่ยนจากการเป็นช่างทำทอง มาเป็นช่างฝังเพชรอย่างเต็มตัว เมื่อแต่งงานแล้วก็มีบุตรด้วยกัน 6 คน ด้วยความที่ครอบครัวใหญ่ ดังนั้นนอกจากเป็นช่างฝังเพชรที่ร้านเพชรแล้ว ก็ยังรับงานพิเศษมาทำที่บ้านด้วย เพื่อหารายได้มาเลี้ยงครอบครัว รวมแล้วใน 1 วัน ต้องทำงานตั้งแต่ 6 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน ซึ่งก็ทำเช่นนี้มานานจนขยับขยายมาเปิดโรงงานเล็กๆ ของตัวเอง รับทำทองและเพชร ถึงอายุกว่า 40 ปี จนกระทั่งสายตาเริ่มไม่ค่อยดีแล้ว

\"มิตร\" เด็กหาบน้ำวังแดง สู่เจ้าสัวโรงแรมเอ-วัน

ช่วงชีวิตที่เป็นช่างทำทองทำเพชรนั้น ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ต้องเผชิญวิบากกรรมหลายครั้ง ตั้งแต่ป่วยจนต้องเข้าโรงพยาบาลรับการผ่าตัด ต้องหัดเดินใหม่ หยุดพักงานนาน 6 เดือน พอหายป่วยลูกก็ป่วยต่อ พอทุกอย่างกำลังจะดีขึ้นก็ต้องสูญเสีย เมื่อครั้งที่ศาลเจ้าพ่อเสือเกิดไฟไหม้ปี 2512 สมัยนั้น ห้องแถวที่เขาใช้ทำเป็นโรงงานเล็กๆ ทำทองทำเพชรอยู่ในย่านนั้น ก็ถูกไฟไหม้ไปด้วย ทรัพย์สินเงินทองสูญสลายไปหมด

แต่นับว่ายังโชคดีมีเพื่อนช่วยขายสร้อยทอง นำเงินมาให้ยืมเพื่อเป็นทุนทำกินใหม่ ซึ่งเขาและภรรยาก็ได้ไปเปิดโรงงานเล็กๆ แถวตรอกนาวา ไม่ไกลจากแหล่งเดิม รับทำทองรูปพรรณ และฝังเพชรพลอย

“ช่วงที่เป็นช่างทำเพชร บางครั้งก็เกิดความผิดพลาดในการทำงาน มีดที่ใช้เป็นอุปกรณ์ก็แทงโดนมือตัวเองบ้าง จนทุกวันนี้มีรอยแผลเป็นสีเงินหลงเหลือให้เห็นอยู่หลายจุดบนมือ เพราะผงเงินที่ติดกับมีดเข้าไปอยู่ในมือ” มิตร กล่าว

เมื่อทำไปสักพัก ก็เห็นโอกาสเปลี่ยนจากการรับจ้างทำทองและเพชรให้พ่อค้าคนกลางนำไปขายต่อ เป็นการผลิตและเสนอขายร้านค้าโดยตรง โดยมิตรเป็นผู้ออกแบบและผลิต ส่วนภรรยาคู่ใจเป็นผู้นำไปขายให้ร้านค้า ขณะเดียวกันในปี 2513 มิตรและภรรยาได้รับโอนสัญชาติเป็นคนไทย จึงเปลี่ยนชื่อและนามสกุล เป็นอย่างที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน

มิตร กล่าวว่า หลังจากนั้นก็ได้เปลี่ยนจากการรับทำทองและเพชร มาทำโรงงานจิวเวลรี่ ผลิตตามคำสั่ง ซึ่งถือว่าโชคดียังมี เพราะสมัยนั้นอเมริกาโจมตีเวียดนาม ก็มาพักอาศัยในไทย ทำให้สามารถผลิตจิวเวลรี่ขายให้อเมริกาได้เป็นกอบเป็นกำ เริ่มมีเงินทองมากขึ้น ช่วงเวลานั้นก็มีเพื่อนฝูงอยู่มาก หลายคนทำโรงแรม จึงมาชักชวนไปร่วมหุ้นด้วย ก็ได้เข้าร่วมหุ้นกับโรงแรมหลายแห่ง แต่เป็นเพียงหุ้นเล็กๆ เน้นรับเงินปันผล ไม่ได้มีบทบาทการบริหารใดๆ

มิตร เล่าต่อว่า เมื่อเริ่มเก็บเงินได้มากขึ้นแล้ว จึงตัดสินใจซื้อที่ดินใหม่และย้ายบ้านมาอยู่ในซอยศูนย์วิจัย ซึ่งในเวลานั้นยังเป็นทุ่งหญ้า ทุ่งนา มีเพียงโรงพยาบาลกรุงเทพที่ตั้งตึกเล็กๆ อยู่ จึงเริ่มเห็นโอกาสอยากสร้างโรงแรมของตัวเองขึ้นเอง และตัดสินใจเริ่มต้นที่การสร้างโมเต็ลเล็กๆ 70 ห้องขึ้น โดยตั้งชื่อว่า เอ-วัน โมเต็ล

“แผนอยากสร้างโมเต็ล ผมเป็นคนคิด ภรรยาของผมเริ่มแรก ไม่ได้เห็นพ้องเพราะอยากทำจิวเวลรี่มากกว่า และเดิมทีจะตั้งชื่อโมเต็ลว่า มิตรวัน เป็นชื่อของผมกับภรรยา แต่ก็เปลี่ยนใจใช้ชื่อ เอ-วัน เพราะฟังดูทันสมัยกว่า โดยโมเต็ลแห่งนี้เป็นแห่งสุดท้ายที่ทางการออกใบอนุญาตโมเต็ลให้ สมัยนั้นมีแต่เพื่อนมองว่าทำไปก็เจ๊ง ใครจะมาโมเต็ลกลางทุ่งนา แต่กลับกลายเป็นว่ากระแสตอบรับดีมาก พอถึงเทศกาลต่างๆ รถติดเป็นแถวยาวรอเข้าโรงแรม” มิตร กล่าว

เพราะ เอ-วัน โมเต็ล ประสบความสำเร็จ ประกอบกับยุคนั้นจิวเวลรี่เริ่มเป็นขาลง ทำให้มิตรหันมาทำธุรกิจโรงแรมเต็มตัว ลงทุนขยาย เอ-วัน โมเต็ล เพิ่มอีก 123 ห้อง จากนั้นก็เริ่มยกระดับมาลงทุนทำโรงแรมระดับดีขึ้นย่านซอยศูนย์วิจัยเช่นเดิม คือ เอ-วัน บูทีค โฮเต็ล เปิดในปี 2527 ต่อด้วยการทุ่มเงินซื้อที่ดินที่พัทยากว่า 10 ไร่ สร้างโรงแรมเอ-วัน เดอะ รอยัล ครู๊ซ พัทยา เปิดในปี 2531 สร้างโรงแรมเอ-วัน กรุงเทพฯ เปิดในปี 2533 ใกล้เคียงกับเอ-วัน โมเต็ล

ช่วงเวลานี้เริ่มมีลูกๆ เข้ามาช่วยทำงานแล้ว และปี 2550 ก็ได้เปิดโรงแรมเอ-วัน พัทยา บีช รีสอร์ท ปี 2556 เปิดโรงแรมเอ-วัน สตาร์ อาคารเอ ปี 2557 เปิดโรงแรมเอ-วัน สตาร์ อาคารบี และปีนี้อยู่ระหว่างก่อสร้างโรงแรมเอ-วัน แกรนด์ มารีน่า พัทยา โรงแรมระดับ 5 ดาว

จะเห็นได้ว่าเส้นทางสู่การเป็นเศรษฐีนั้นไม่ง่าย เพราะคนส่วนใหญ่ที่เริ่มต้นจากมือเปล่าไม่มีอะไรเลยจนมีมหาศาล ล้วนอดทนฟันฝ่าอุปสรรค จนมีวันที่ดีขึ้นทั้งสิ้น

\"มิตร\" เด็กหาบน้ำวังแดง สู่เจ้าสัวโรงแรมเอ-วัน

ขยัน-ซื่อสัตย์ หนุนนำชีวิต

สำหรับ มิตร แม้ตัวจะจากไกลบ้านเกิดบนเกาะไหหลำ มาแสวงหาโอกาสอยู่ในเมืองไทย แต่ก็ไม่เคยลืมแผ่นดินเกิด รวมถึงแม่ผู้ให้ชีวิตเลย ครั้งหนึ่งเป็นช่วงสงคราม มิตรได้รับข่าวสารจากเมืองจีนส่งมาว่าคุณแม่ป่วย จึงตัดสินใจกลับไปเยี่ยมคุณแม่ โดยมีภรรยาและลูกๆ รออยู่เมืองไทย แต่ครั้งนั้นโชคร้าย มิตรถูกทางการจีนกักตัวไว้นานถึง 6 เดือน กว่าจะกลับเมืองไทยได้ เพราะรัฐบาลเกรงว่าจะเป็นกลุ่มผู้ต่อต้านรัฐ จึงต้องใช้เวลาในการพิสูจน์อยู่นาน ซึ่งสุดท้ายก็ได้กลับมาเมืองไทย

มิตร มองว่าเมืองจีนก็เปรียบเหมือนพ่อ-แม่ ที่มีลูกมาก ลูกจะไปทำมาหากินกันที่ไหนก็ไป ทำให้ทั่วโลกมีคนจีนอยู่ทั้งนั้น เพราะมีลูกมีหลานกันมากจนเลี้ยงไม่ไหว แต่เวลานี้พ่อ-แม่แก่แล้ว ก็ต้องกลับไปเยี่ยมพ่อ-แม่ ทั้งเงิน วิทยาศาสตร์ และความรู้ต่างๆ ที่คนจีนออกไปทำมาหากินในต่างแดน ต่างก็หวนคืนสู่เมืองจีน

มิตรเองก็เช่นกัน เมื่อทำมาหากินจนร่ำรวยแล้ว ก็ได้มีส่วนในการก่อสร้างโรงพยาบาล โรงเรียนต่างๆ บนเกาะไหหลำ เพราะรำลึกเสมอว่าเป็นแผ่นดินบรรพบุรุษ ส่วนในแผ่นดินไทยเอง มิตรก็สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และแผ่นดินไทยที่มิตรได้อาศัยอยู่ ดังนั้นในแต่ละปีจะบริจาคเงินหลักล้านบาท ให้กับมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง เพื่อไปใช้ในการดำเนินงานของโรงพยาบาลหัวเฉียว

ทั้งนี้ มิตรให้ข้อคิดกับคนรุ่นหลังไว้ว่า คนเราเกิดมาต้องซื่อสัตย์ ใจของเราอย่าไปคิดอยากได้ของเขา เปรียบได้กับสุภาษิตหนึ่งที่ว่า เลี้ยงแขกทุกวันไม่เห็นจน ขโมยทุกคืนไม่เห็นรวย ให้จำไว้ว่า หากซื่อสัตย์ ถึงเราจนอย่างไร ก็จะมีคนมาช่วยเหลือเรา อาจไม่ใช่การช่วยเหลือเรื่องเงินทอง แต่ก็จะช่วยเรื่องนั้นเรื่องนี้

นอกจากนี้ ยังอยากให้มองเรื่องการมีอำนาจว่า สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงของชั่วคราว ไม่ว่าจะได้ตำแหน่งอะไรมา สักวันก็ต้องมีวันครบกำหนด สิ่งสำคัญของชีวิตคนเราคือสุขภาพ เพราะสุขภาพต่างหากที่เป็นของเราเอง หากสุขภาพไม่ดี ชีวิตก็หมด

มิตรยังให้ข้อคิดอีกว่า คนเรานั้นจนไม่ถึง 2 ชั่วคน และก็รวยไม่ถึง 3 ชั่วคน สาเหตุนั่นก็เพราะรุ่นแรกเมื่อจน ถึงขนาดไม่มีข้าวจะกินแล้ว เราก็ต้องพยายามหาจนมี ในขณะที่รุ่นที่ 3 นั้น เกิดมาในช่วงที่ฐานะการเงินดีแล้ว จนรู้สึกว่าเกิดมาสบาย เงินที่มีอยู่ชาตินี้ก็กินไม่หมด จะทำงานไปทำไม แต่ละวันก็ขับรถโก้ๆ สวยๆ บ้างก็ไปติดการพนัน หรือสิ่งเสพติด เหตุนี้เองจึงทำให้ความรวยมักจะอยู่ไม่ถึง 3 ชั่วคน

หากเป็นไปได้ ก็อยากฝากให้เด็กรุ่นหลัง มีความขยันเป็นที่ตั้ง แม้ว่าชีวิตจะเกิดมาอยู่ท่ามกลางความสุขสบายแล้วก็ตาม ก็ขอให้รำลึกถึงความยากลำบากของคนรุ่นเก่าเอาไว้เสมอ

จะเห็นได้ว่าคุณสมบัติสำคัญอย่างหนึ่งของคนที่ประสบความสำเร็จ สามารถผลักดันตัวเองจนมีฐานะที่ดีขึ้นมากได้ ก็คือความขยัน และซื่อสัตย์ หากใครมีสองสิ่งนี้แล้ว แม้ปัจจุบันอาจจะยังมีชีวิตที่เหนื่อย ลำบาก ฝ่าฟันกับอุปสรรคนานัปการอยู่ ก็จงอย่าท้อ

เพราะความขยันและซื่อสัตย์ จะผลักดันเราไปสู่เส้นทางชีวิตที่ดีขึ้นได้ หากเราไม่ถอดใจและไปเลือกเดินทางผิดเสียก่อน

\"มิตร\" เด็กหาบน้ำวังแดง สู่เจ้าสัวโรงแรมเอ-วัน

ผัวหาบ-เมียคอน

ด้าน สมชัย รัตนโอภาส กรรมการผู้จัดการ โรงแรมเอ-วัน กรุงเทพฯ-พัทยา บุตรชายของ มิตร รัตนโอภาส กล่าวว่า คุณพ่อเป็นคนขยัน ส่วนคุณแม่ก็เป็นคนขยันเช่นกัน ตั้งแต่เด็กจนโตก็เห็นถึงความขยันและอดทนในการทำงานของคุณพ่อและคุณแม่มาโดยตลอด คุณพ่อมักจะเป็นคนที่ทุ่มเทแรงกายผลิตงานต่างๆ ออกมา ส่วนคุณแม่ซึ่งมีหัวการค้ามาก ก็จะรับเอาสิ่งที่คุณพ่อทำไปค้าขายต่อ สิ่งเหล่านี้เองทำให้ตัวเราซึ่งเป็นลูกเจริญรอยตาม ขยันขยายธุรกิจร่วมใจกันกับพี่น้องช่วยกัน ทำให้ธุรกิจที่คุณพ่อและคุณแม่มีอยู่เติบโตขึ้น

Thailand Web Stat