พระราชบัญญัติล้มละลายฉบับแก้ไขเพิ่มเติม

25 กันยายน 2558

กฎหมายล้มละลายเป็นกฎหมายที่บัญญัติขึ้นเพื่อใช้เป็นมาตรฐานในการจัดการความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าหนี้และลูกหนี้ในกรณีที่ลูกหนี้มีหนี้สินล้นพ้นตัวจนไม่สามารถชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ได้ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือลูกหนี้มีหนี้มากกว่าทรัพย์สิน ซึ่งกฎหมายได้กำหนดกระบวนพิจารณาคดีล้มละลายว่า ลูกหนี้ที่จะถูกฟ้องเป็นบุคคลล้มละลาย จะต้องเป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัว โดยบุคคลธรรมดาจะต้องเป็นหนี้ไม่น้อยกว่า 1 ล้านบาท ส่วนนิติบุคคลจะต้องเป็นหนี้ไม่น้อยกว่า 2 ล้านบาท

กฎหมายล้มละลายเป็นกฎหมายที่บัญญัติขึ้นเพื่อใช้เป็นมาตรฐานในการจัดการความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าหนี้และลูกหนี้ในกรณีที่ลูกหนี้มีหนี้สินล้นพ้นตัวจนไม่สามารถชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ได้ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือลูกหนี้มีหนี้มากกว่าทรัพย์สิน ซึ่งกฎหมายได้กำหนดกระบวนพิจารณาคดีล้มละลายว่า ลูกหนี้ที่จะถูกฟ้องเป็นบุคคลล้มละลาย จะต้องเป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัว โดยบุคคลธรรมดาจะต้องเป็นหนี้ไม่น้อยกว่า 1 ล้านบาท ส่วนนิติบุคคลจะต้องเป็นหนี้ไม่น้อยกว่า 2 ล้านบาท

และเมื่อศาลมีคำพิพากษาให้ลูกหนี้ล้มละลายโดยมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้ว สิทธิในการจัดการทรัพย์สินต่างๆ ของลูกหนี้ตกเป็นของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ผู้กระทำการในฐานะตัวแทนของลูกหนี้ผู้ล้มละลายที่จะจัดการรวบรวมทรัพย์สินของลูกหนี้เข้ามาไว้ในกองล้มละลาย  เพื่อแบ่งเฉลี่ยให้แก่เจ้าหนี้ตามส่วน ซึ่งเจ้าหนี้ที่จะขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายนั้น จะต้องยื่นคำร้องขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลาย แม้จะเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาหรือได้ยื่นฟ้องคดีแพ่งไว้แล้ว แต่คดียังอยู่ในระหว่างพิจารณาก็ตาม

อย่างไรก็ดี ลูกหนี้อาจทำการขอประนอมหนี้ก่อนหรือหลังศาลมีคำสั่งล้มละลายก็ได้ และสำหรับบุคคลธรรมดาซึ่งศาลมีคำสั่งให้เป็นบุคคลล้มละลายนั้น จะได้รับการปลดจากล้มละลายโดยผลของกฎหมายทันทีเมื่อพ้นกำหนด 3 ปี นับแต่วันที่ศาลพิพากษาให้ล้มละลาย ทำให้บุคคลนั้นๆ พ้นจากการเป็นบุคคลล้มละลาย และมีอำนาจจัดการทรัพย์สินของตนทั้งปวง

กฎหมายล้มละลายที่มีผลบังคับใช้ในปัจจุบัน คือ พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ. 2483 ซึ่งได้มีการปรับปรุง เปลี่ยนแปลง และแก้ไขมาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทยซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ล่าสุดพระราชบัญญัติล้มละลายนี้ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติล้มละลาย (ฉบับที่ 8) พ.ศ. 2558 ซึ่งมีผลใช้บังคับในวันที่ 27 ส.ค. 2558 ที่ผ่านมา โดยมีเหตุผลอันเนื่องมาจากการที่กระบวนพิจารณาคำขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายที่กำหนดให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เสนอคำขอรับชำระหนี้ต่อศาล เพื่อให้ศาลมีคำสั่งรับชำระหนี้ ส่งผลให้กระบวนการชำระหนี้มีหลายขั้นตอน

สมควรที่จะลดขั้นตอนลงเพื่อให้การพิจารณาคำขอมีความรวดเร็วขึ้น และสมควรกำหนดรายละเอียดของคำขอประนอมหนี้ก่อนล้มละลายให้ชัดเจน อีกทั้งสมควรที่จะกำหนดให้เจ้าหนี้ที่ไม่ได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ในกำหนดสามารถยื่นคำร้องได้ในกรณีที่มีเหตุสุดวิสัย รวมถึงการปรับปรุงบทกำหนดโทษปรับให้เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจและสังคมในปัจจุบัน

ประเด็นสำคัญอันเป็นการแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มี 5 ประการ ได้แก่

1.กำหนดรายละเอียดของคำขอประนอมหนี้ก่อนล้มละลาย และอำนาจของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ในการตรวจคำขอประนอมหนี้ก่อนล้มละลาย กล่าวคือ รายละเอียดของคำขอประนอมหนี้อย่างน้อยจะต้องกำหนดการลำดับการชำระหนี้ จำนวนเงินที่ขอประนอมหนี้ แนวทางและวิธีการในการปฏิบัติตามคำขอประนอมหนี้ กำหนดเวลาชำระหนี้ การจัดการกับทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันและผู้ค้ำประกันหากมีหลักประกันหรือผู้ค้ำประกัน และหากคำขอประนอมหนี้มีรายการไม่ครบถ้วนตามที่กำหนด ให้เป็นหน้าที่ของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ในการแจ้งลูกหนี้ให้แก้ไขรายการให้ครบถ้วน

2.กำหนดให้เจ้าหนี้ที่ไม่ได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ในกำหนดเวลาตาม ม.91 สามารถยื่นคำขอรับชำระหนี้ได้ในกรณีมีเหตุสุดวิสัย การแก้ไขในประเด็นนี้เป็นการเพิ่มสิทธิของเจ้าหนี้ในการยื่นคำขอชำระหนี้ ซึ่งตาม พ.ร.บ.ล้มละลายเดิมนั้นได้กำหนดว่า หากเจ้าหนี้ไม่ยื่นคำขอรับชำระหนี้ภายในกำหนดเวลา 2 เดือน นับแต่วันที่โฆษณาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ เจ้าหนี้จะหมดสิทธิได้รับชำระหนี้ตามกฎหมาย ดังนี้การแก้ไขนี้จึงเปิดโอกาสให้เจ้าหนี้ยื่นคำร้องต่อศาลโดยแสดงเหตุผลว่า เพราะเหตุใดจึงไม่สามารถยื่นคำขอรับชำระหนี้ภายในเวลาที่กำหนดได้  และหากศาลพิจารณาแล้วเห็นว่าเหตุดังกล่าวเป็นเหตุสุดวิสัยและมีเหตุผลอันสมควร ศาลจะมีคำสั่งให้เจ้าหนี้รายนั้นสามารถขอรับการชำระหนี้ได้

3.ให้อำนาจของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ในการพิจารณาและมีคำสั่งคำขอรับชำระหนี้ และกำหนดคุณสมบัติของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ผู้มีอำนาจออกคำสั่งเกี่ยวกับการรับชำระหนี้เป็นไปตามระเบียบที่รัฐมนตรีกำหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา การแก้ไขในประเด็นนี้เป็นการลดขั้นตอนในการสั่งคำขอรับชำระหนี้ โดยให้อำนาจเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สามารถมีคำสั่งในการออกหมายเรียกบุคคลมาสอบสวนหรือให้ถ้อยคำเพื่อตรวจสอบเกี่ยวกับหนี้สิน และมีอำนาจในการพิจารณาคำขอรับชำระหนี้ได้ หากมีผู้คัดค้านคำสั่งของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ให้ผู้ที่มีส่วนได้เสียยื่นคำร้องคัดค้านไปยังศาล อันเป็นการลดขั้นตอนและปริมาณคดีในศาล

4.แก้ไขเพิ่มเติมลำดับการให้ชำระค่าใช้จ่ายและหนี้สินจากการแบ่งทรัพย์สินให้แก่เจ้าหนี้ โดยให้นำค่าธรรมเนียมในการรวบรวมทรัพย์สินตามมาตรา 179(4) มาเป็นค่าใช้จ่ายที่จะต้องชำระในลำดับที่ 4 ในการชำระค่าใช้จ่ายและหนี้สินของลูกหนี้

5.แก้ไขเพิ่มเติมโทษปรับ เนื่องจากกฎหมายล้มละลายที่ใช้อยู่ในปัจจุบันมีโทษปรับเพียง 100-1,000 บาท ในความผิดฐานต่างๆ เช่น ลูกหนี้ไม่แจ้งข้อความอันเป็นสาระสำคัญหรือลูกหนี้ยักย้าย หรือซุกซ่อนทรัพย์สิน ซึ่งเป็นโทษที่ไม่เด็ดขาดและไม่เหมาะสมต่อสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน ดังนั้นใน พ.ร.บ.ฉบับนี้จึงได้มีการเพิ่มเติมโทษปรับเป็น 1–2 แสนบาท เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบันมากขึ้น ส่วนโทษจำคุกยังคงเดิม คือ 4 เดือน–2 ปี

ดังนั้น จะเห็นได้ว่า พ.ร.บ.ล้มละลายฉบับนี้จะส่งผลดีต่อทุกฝ่าย ทั้งต่อภาพรวมในกระบวนการดำเนินคดีล้มละลาย และทั้งต่อเจ้าหนี้และลูกหนี้ในการเรียกและชำระหนี้ แต่อย่างไรก็ตามการทำงานของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะต้องเป็นไปโดยโปร่งใส มีอิสระ และมีความเป็นกลาง เพื่อให้กระบวนพิจารณาคดีล้มละลายเป็นไปโดยยุติธรรม

นอกเหนือจาก พ.ร.บ.ล้มละลายฉบับนี้แล้ว ปัจจุบันนี้ได้มีการเสนอร่าง พ.ร.บ.ล้มละลายแก้ไขเพิ่มเติมอีกฉบับหนึ่ง เพื่อแก้ไขในการฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ที่เป็นวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี)อันจะส่งผลให้ลูกหนี้ที่ขึ้นทะเบียนและเป็นสมาชิกของสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ที่ประสบปัญหาขาดสภาพคล่องทางการเงินจากการประกอบธุรกิจเอสเอ็มอีไม่เกิน 3 ล้านบาท สามารถทำการฟื้นฟูกิจการได้ เนื่องจากปัจจุบันกฎหมายกำหนดให้ลูกหนี้ที่ต้องการจะฟื้นฟูกิจการจะต้องมีหนี้ไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาท อันเป็นการจำกัดสิทธิของลูกหนี้รายย่อยที่มีหนี้น้อยกว่า 10 ล้านบาท

ดังนั้น ร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้จึงเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการรายย่อยกลับมาบริหารกิจการได้อีกครั้ง และเป็นการเริ่มต้นใหม่ของผู้ประกอบการ ในขณะนี้ร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ได้ผ่านมติที่ประชุมคณะรัฐมนตรีแล้ว แต่ยังคงอยู่ในกระบวนการที่จะเสนอให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาต่อไป ซึ่งจะต้องรับฟังความเห็นจากประชาชนและผู้ที่เกี่ยวข้อง เพื่อที่จะให้ร่างพระราชบัญญัติฉบับดังกล่าวได้ให้ข้อสังเกตอันจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนต่อไป

Thailand Web Stat