posttoday

หลงกำแพงเมืองจีน

04 ตุลาคม 2558

การได้เหยียบกำแพงเมืองจีนเป็นครั้งแรกในชีวิตเมื่อหลายปีก่อน ช่างเป็นเหตุการณ์ที่ผมจำมิรู้ลืมจริงๆ

โดย...ชัยฤทธิ์ ยนเปี่ยม

การได้เหยียบกำแพงเมืองจีนเป็นครั้งแรกในชีวิตเมื่อหลายปีก่อน ช่างเป็นเหตุการณ์ที่ผมจำมิรู้ลืมจริงๆ

สิ่งมหัศจรรย์ของโลกแห่งนี้สุดทึ่งด้วยประวัติศาสตร์การก่อสร้างยาวนานกว่า 2,500 ปี ด้วยความเป็นที่สุดด้านต่างๆ ทั้งเส้นทางที่คดเคี้ยวร่วม 8,850 กิโลเมตร แต่ต่อมาถูกบันทึกว่า ยาวกว่าเดิมถึง 2 เท่า เป็น 21,196 กิโลเมตร มีนักโทษ แรงงานมนุษย์ถูกเกณฑ์มาสร้างนับล้านชีวิต และเสียชีวิตถูกฝังเป็นสุสานอยู่ใต้กำแพงอีกจำนวนมาก

ภาพยนตร์ นิยายประวัติศาสตร์ สารคดีจีน ล้วนมีกำแพงเมืองจีนเป็นฉากประกอบ ชวนให้ใครต่อใครอยากจะไปสักครั้งในชีวิต ว่ากันว่าที่แห่งนี้ยังติดอันดับสถานที่ท่องเที่ยวอันดับหนึ่งของโลก เฉพาะวันที่ 1 ต.ค. ซึ่งเป็นวันชาติของจีน มีคนมาที่นี่ถึง 8 ล้านคน มากกว่าประชากรสิงคโปร์ที่มี 5.4 ล้านคนเลยทีเดียว

ครั้งหนึ่งผมมีโอกาสไปดูงานประเทศจีน ทริปนั้นเขาพาไปแวะปิดท้ายที่กำแพงเมืองจีน จินตนาการไม่ออกของจริงจะอลังการเพียงไร พอนั่งรถทัวร์ไปถึงเห็นกำแพงทอดยาวลิบๆ ดูก็งั้นๆ เพราะสภาพเป็นกำแพงดาดๆ ธรรมดา แต่เมื่อเริ่มเข้าใกล้และอยู่ในบรรยากาศนั้นนานๆ ชวนให้ขนลุกเหมือนตกอยู่ในหลุมดำประวัติศาสตร์ชวนพิศวงนับพันปี

นักท่องเที่ยววันนั้นดูไม่เยอะ เพราะไม่ใช่ช่วงเทศกาล ส่วนใหญ่เป็นคนจีนจากพื้นที่ต่างๆ แต่พลันที่ผมเหยียบเท้าสัมผัสลานจอดรถที่แน่นไปด้วยรถทัวร์มันช่างดูกว้างขวาง และรู้สึกว่าตัวเราเล็กมาก คงเพราะสถานที่มันใหญ่สุดลูกหูลูกตา ภาพที่คนเหมือนจะไม่เยอะ แต่เอาเข้าจริงตรงกันข้าม เพราะระหว่างทางขึ้นกระเช้าไฟฟ้าไปถึงจุดเริ่มเดินตามแนวกำแพงแน่นไปด้วยมวลมหานักท่องเที่ยว

ผมเข้าใจเลยว่า ทัวร์จีนที่มาไทย ทำไมต้อง “ถือธง” นำ เพราะมันสะดุดตาลูกทัวร์ไม่ให้หลงทางไปไหน แต่วันนั้นผมไม่สนใจธงของชาวคณะ เพราะเชื่อว่าถ่ายรูปไป เดินตามขบวนไป ไม่มีทางตกขบวนแน่ และเส้นทางกำแพงก็บังคับให้เดินตรงไปเรื่อยๆ เมื่อเชื่อมั่นตัวเองอย่างนี้ แล้วเป็นไงล่ะก็หลงทางซิ

จากกำแพงเมืองจีนที่ดูอัศจรรย์ มันเลยดูน่ากลัว ลึกลับ ณ วินาทีนั้น

เพราะความหลงเสน่ห์ อยากเก็บภาพสวยๆ ทำให้ผมเดินหามุมถ่ายรูปแปลกๆ แม้สายตาพยายามมองชาวคณะอยู่ตลอด แต่ตอนนั้นมันแวบเดียวจริงๆ นักท่องเที่ยวมาบังเต็มไปหมดจนผมหาคณะไม่เจอ
แรกคิดว่าไม่เป็นไร เดี๋ยวเดินไปดักอีกทาง เส้นทางกำแพงมันน่าเชื่อมกันข้างหน้า แต่ยิ่งเดินมันยิ่งไปไกลเหมือนหลุดอยู่ในเขาวงกต ยิ่งเดินยิ่งเหมือนอยู่บนทางสายไหมที่ไร้จุดจบ

ที่บีบหัวใจผมก็คือ กำหนดการของเรา หลังชมกำแพงเมืองจีนเสร็จ ต้องรีบบึ่งไปสนามบินเพื่อกลับกรุงเทพฯ แล้วทำไงดี โทรศัพท์ก็อยู่บนรถ ไม่มีเบอร์หัวหน้าคณะเสียด้วย

ผมมีเวลาเหลือเพียงครึ่งชั่วโมงต้องหาทางกลับไปที่รถทัวร์ให้ได้ วินาทีนั้นมีแค่ 2 ขากับหัวใจที่ต้องไปให้ถึง ผมวิ่งตีนขวิดสปีดนรกเกียร์ห้า ทั้งเบียด ชนนักท่องเที่ยว เป้าหมายคือไปให้ใกล้จุด “กระเช้าไฟฟ้า” ให้มากที่สุด เพราะเริ่มต้นจากจุดนั้น ในใจคิดว่า เวลามันบีบอย่างนี้ ไม่มีทางได้เจอ คราวนี้ได้อยู่เมืองจีนให้รัฐบาลคอมมิวนิสต์จับตัวไปต้มยำทำแกงแน่  

ครั้นวิ่งไปถามนักท่องเที่ยวว่า ใครรู้ทางที่จอดรถบ้าง ไม่มีใครพูดภาษาอังกฤษได้สักคน เพราะคนที่มาเที่ยวส่วนใหญ่เป็นคนจีน จะมองหน้า ส่งเสียงมีใครเป็นคนไทยไหมครับ ก็ไร้คำตอบ ทุกคนครึกครึ้นสนุกสนานกับการย่ำบนกำแพงเมืองจีน

ผมวิ่งไปเกือบ 20 นาที เหนื่อย หอบ หมดแรง ทำใจ ทั้งกลัวตกเครื่อง กังวลที่ต้องมาเป็นภาระให้คนอื่น แต่ยังดีควักไปเจอโบรชัวร์แผนที่ท่องเที่ยวกำแพงเมืองจีนในกระเป๋า เลยถามชาวจีนแถวนั้นด้วยภาษามือ เมื่อรู้ว่าลานจอดรถอยู่ตรงไหน ผมรวบรวมพลังอีกเฮือกวิ่งสุดใจ โอ้แม่เจ้าอีกเกือบกิโล พอมาถึง นึกว่าจะได้เจอรถทัวร์ของคณะทันที ยังต้องวิ่งหาอีกเกือบร้อยคันจนตาลาย

ในที่สุดผมก็เจอรถและรีบขึ้น ภาพที่ปรากฏทุกคนต่างนั่งลุ้นรอผมอยู่ ก่อนจะปรบมือดีใจตะโกนกึกก้องราวกับผมเป็นฮีโร่ที่ช่วยให้ไม่ตกเครื่อง ผมนี่หน้าชาอยู่นานเพราะรู้สึกผิด แต่รถยังออกไม่ได้ เพราะเจ้าหน้าที่ต้องโทรไปบอกไกด์อีกสองคนที่ไปตามผมบนกำแพงเมืองจีน เสียเวลาไปอยู่นานอีก 

ประสบการณ์ครั้งนั้นได้บทเรียนพอควร แต่ถือว่าเป็นการหลงทางในสิ่งมหัศจรรย์ของโลกอันยิ่งใหญ่ จนเกือบไม่ได้กลับบ้าน ทุกครั้งที่กลับมาดูภาพถ่ายนึกถึงความทรงจำวันนั้นเหมือนเราได้เป็นตัวละครท่องอยู่ในอดีตอันลี้ลับของจีนที่ไม่มีลืม