เมื่อผมช่วยคนจรจัดกลับบ้าน
แวบแรกที่เห็นชายคนนี้นั่งยิ้มเผล่ที่ป้ายรถเมล์ ในใจไม่คิดอะไรมากไปกว่าคนเร่ร่อนจรจัดไร้บ้านคนหนึ่งที่พบเห็นได้ทั่วไป
โดย...อินทรชัย พาณิชกุล
แวบแรกที่เห็นชายคนนี้นั่งยิ้มเผล่ที่ป้ายรถเมล์ ในใจไม่คิดอะไรมากไปกว่าคนเร่ร่อนจรจัดไร้บ้านคนหนึ่งที่พบเห็นได้ทั่วไป
ร่างท้วม หวีผมเรียบแปล้ มือหิ้วกระเป๋าใบใหญ่ใส่ของพะรุงพะรัง เที่ยวเดินเข้าหาคนโน้นคนนี้พร้อมแบมือขอเงิน หลายคนรีบเอามือปิดจมูกพลางส่ายหัว บ้างโบกมือไล่ แต่เขาก็ยังยิ้มได้โดยไม่มีทีท่าว่าจะเดือดเนื้อร้อนใจเลยสักนิด
ผมกวักมือเรียก ควักแบงก์ยี่สิบยับๆ สี่ห้าใบยื่นให้ เขายกมือไหว้ ยิ้มบางๆ แล้วเดินจากไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
มันคงเป็นเหตุการณ์สามัญธรรมดา ไม่มีสิ่งใดให้น่าจดจำ หากผมไม่ได้พบเจอชายคนนี้อีกครั้งในสองเดือนถัดมาผ่านเพจเฟซบุ๊ก ศูนย์ข้อมูลคนหาย มูลนิธิกระจกเงา
ประกาศตามหาคนหาย เป็นภาพถ่ายใบหน้าชายคนหนึ่ง แม้จะเป็นใบหน้าโหลๆ ไม่มีอะไรโดดเด่น ทว่ารอยยิ้มเผล่รอยยิ้มนั้นทำให้ความทรงจำเก่าๆ หวนกลับคืนมา --- ใช่แล้ว หนุ่มไร้บ้านที่ป้ายรถเมล์คนนั้นนั่นเอง
หัวใจตุ๊มๆ ต้อมๆ เมื่อทราบชื่อ นามสกุล ภูมิลำเนา วันที่หายออกจากบ้าน ที่สำคัญรายละเอียดยังบอกอีกด้วยว่าชายคนมีอาการทางจิต แถมพิการเป็นใบ้ ยิ่งทำให้รู้สึกเห็นใจเหลือเกิน ผมบอกกับตัวเองทันที ไม่ว่าจะยังไง กูจะพาเขากลับบ้านให้ได้
คล้ายกับโชคชะตาฟ้าลิขิต ไม่กี่วันถัดมา ขณะกำลังขับรถกลับบ้านกลางดึก พลันเหลือบไปเห็นชายหนุ่มคนเดิมกำลังนอนอยู่บนฟุตปาทหน้าร้านสะดวกซื้อ
ตอนนั้นยอมรับว่ากล้าๆ กลัวๆ คิดในใจสับสน ...กูจะช่วยเขายังไงดีวะ ...ถ้าเขาตกใจถุยน้ำลายใส่หน้า หรือทำร้ายกูขึ้นมาจะทำยังไง ...เขามีอาการทางจิตนะโว้ย มึงตั้งใจดี แต่ถ้าเขาชักมีดแทงมึงขึ้นมา มันคุ้มเหรอ ฯลฯ สุดท้ายจึงตัดสินใจเดินเข้าร้านค้า ซื้อน้ำดื่ม ขนมปังไส้หมูหยอง กล้วยหอม และนมกล่อง เดินออกมายื่นให้ โดยหวังว่าสิ่งของเหล่านี้จะช่วยทำลายกำแพงแห่งความหวาดระแวงลงได้
“นายรู้ไหมว่าที่บ้านนายเขาตามหานายกันอยู่นะ” ผมพูดขณะยื่นถุงอาหาร คิ้วของเขาขมวดหากันด้วยความประหลาดใจ เตรียมจะหันหลังหนี นาทีนั้นผมหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นตั้งใจจะถ่ายรูปไว้เป็นหลักฐานแล้วส่งให้ศูนย์ข้อมูลคนหาย มูลนิธิกระจกเงา เพื่อยืนยันว่าพบตัวคนหายคนนี้แล้ว แต่ชายคนนี้กลับส่ายหัว ทำท่าโบกมือไม่ให้ถ่ายรูป
วินาทีนั้นเองทำให้ผมรู้ทันทีว่า ชายคนนี้เข้าใจในสิ่งที่ผมพูด
รุ่งขึ้น ผมรีบโทรหาญาติพี่น้องของเขาตามเบอร์ที่ติดไว้บนแผ่นประกาศ เสียงรอสายทำเอาใจว้าวุ่น รู้สึกมันช่างยาวนานเหลือเกิน ในที่สุดก็มีคนรับสาย เป็นเสียงแก่ๆ ที่ดูเหน็ดเหนื่อยของหญิงชราคนหนึ่ง ผมแนะนำตัว พร้อมเล่าเรื่องราวทุกอย่างให้ฟังอย่างละเอียด น้ำเสียงเธอตื่นเต้นดีใจที่รู้ว่าลูกชายยังมีชีวิตอยู่
“แล้วป้าจะไปดูเขาเมื่อไหร่ครับ” ผมถาม ทุกอย่างทำท่าจะแฮปปี้เอนดิ้ง
หญิงชราหยุดคิดนาน ก่อนถอนหายใจยาว
“ช่วงนี้ฉันป่วยเป็นโรคมะเร็ง เพิ่งออกจากโรงพยาบาล จะลุกจะเดินยังไม่ค่อยมีแรง ฉันได้ยินว่าเขาอ้วนท้วนสมบูรณ์ ยังมีชีวิตอยู่ ฉันก็ดีใจมากๆ แล้ว ขอบคุณหนูมากๆ นะลูกที่ซื้อข้าวซื้อน้ำให้เขากิน ขอให้หนูเจริญๆ นะจ๊ะ”
คุณป้าทำเสียงเหมือนจะร้องไห้ ก่อนวางสายไป ทิ้งให้ผมมึนงงไปครู่ใหญ่ อะไรกัน อุตส่าห์กุลีกุจอช่วย แต่ทำไมครอบครัวเขาดูเหมือนไม่อนาทรร้อนใจอย่างที่คิด ผิดกับเราที่ทั้งตื่นเต้นดีใจยิ่งกว่าค้นพบขุมสมบัติในป่าลึก
หลังนั่งต่อสู้กับความผิดหวังอยู่นานหลายชั่วโมง สมาธิเริ่มกลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว สติแจ่มชัด ปัญญาถูกจุดขึ้นให้สว่างไสวอีกครั้ง
ผมพยายามทำความเข้าใจกับความเป็นจริงที่เกิดขึ้น คุณป้าซึ่งเป็นแม่ของชายจรจัดผู้นั้นกำลังป่วยด้วยโรคมะเร็ง เรี่ยวแรงแทบไม่มีเพราะเพิ่งออกจากโรงพยาบาล เมื่อได้ยินว่าลูกชายยังมีชีวิตอยู่ อ้วนท้วนสมบูรณ์ ไม่เจ็บไข้ได้ป่วย ไม่ได้ถูกทำร้ายทุบตี หนำซ้ำยังมีคนใจดีซื้อข้าวซื้อน้ำให้กิน เท่านี้ก็คงโล่งใจหายห่วง เมื่อถึงเวลาที่พร้อม เชื่อว่าแม่คนนี้จะออกตามหาลูกอีกครั้งอย่างแน่นอน
คิดได้แบบนี้ก็สบายใจ ช่วยเต็มที่เท่าที่จะช่วยได้ ผลลัพธ์อาจไม่เป็นดั่งหวัง แต่มันก็ควรเป็นวีรกรรมที่ควรภาคภูมิใจมิใช่หรือ หลายวันต่อมา ผมเดินผ่านป้ายรถเมล์เดิม คราวนี้ถือข้าวราดกะเพราไก่ไข่ดาวและน้ำดื่มอีกขวดไปยื่นให้ชายไร้บ้านคนนั้น
เขายิ้มเผล่ ผมพยักหน้ายิ้มตอบ ก่อนเราทั้งคู่จะแยกย้ายกันไป เหมือนเช่นวันก่อนๆ ที่ผ่านมา