‘พองหนอ-ยุบหนอ’
หลักความรู้ที่พระธรรมมังคลาจารย์ วิ. ใช้ในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา คือ หลักสติปัฏฐานสูตร
โดย...หนังสือ 90 ปีพระธรรมมังคลาจารย์
ต่อจากนี้เป็นตอนต่อจากคราวที่แล้ว
หลักความรู้ที่พระธรรมมังคลาจารย์ วิ. ใช้ในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา คือ หลักสติปัฏฐานสูตร ส่วนหลักปฏิบัติของท่านปรับเปลี่ยนเอาอาการพองยุบของลมในท้องเป็นหลัก แทนการกำหนดลมหายใจเข้าออก พุทธศาสนิกชนและนักปฏิบัติทั้งหลาย เรียกแนวทางปฏิบัติแบบที่พระธรรมมังคลาจารย์ วิ. ใช้นี้ว่า “พองหนอ-ยุบหนอ”
พองหนอ-ยุบหนอ เป็นการเฝ้าสังเกตลมที่เคลื่อนเข้าออกอย่างชัดเจน ว่าลมในช่องท้องที่ดันให้ผนังท้องพองออกมากับลมหายใจที่สูดเข้าปอด จะเห็นว่าเมื่อสูดลมหายใจเข้า ทำให้ปอดขยายตัวกดลงมายังอวัยวะในช่องท้อง อวัยวะในช่องท้องก็จะเบียดลมในช่องท้อง ทำให้ลมในช่องท้องเคลื่อนตัวไปยังส่วนที่ยืดออกไปได้คือผนังท้องนั่นเอง ทำให้เกิดอาการพองออกมาข้างนอก และเมื่อผ่อนลมหายใจปอดจะยุบเข้าที่เดิม อวัยวะในช่องท้องไม่ถูกกดอีกต่อไปก็จะกลับเข้าที่ จากนั้นลมในช่องท้องก็จะกลับที่เดิมตามกัน ผนังท้องก็หดกลับ
การเฝ้าดูอาการท้องพองยุบ เป็นการกำหนดพร้อมสติที่กำหนดรู้ถึงการทำงานของวาโยธาตุ จึงเรียกอีกอย่างว่า “ธาตุมนสิกาปัพพะ”
พระธรรมมังคลาจารย์ วิ. กล่าวถึงความสำคัญของการมีสติกำหนดเฝ้าดูอาการท้องพองยุบไว้ในธรรมนิยามสูตร (2545:12-13) ว่า
“...พองกับยุบ คือลมเนี่ย โผฏฐัพพารมณ์เอาธาตุลม ลมเข้ามันพอง ลมออกมันยุบ จับพองหนอยุบหนอนี้ คุณธรรมจะเกิดขึ้นได้ง่าย สติ สมาธิ ธรรมเมื่อจับสติปัฏฐานสี่แล้ว กาย เวทนา จิต ธรรม สติปัฏฐานสี่ สัมมัปปธานสี่ อิทธิบาทสี่ อินทรีย์ห้า พละห้า โพชฌงค์เจ็ด มรรคมีองค์แปด เกิดขึ้นพร้อมกันเลย...”
1.สติปัฏฐานสี่ แบบธาตุมนสิการปัพพะ (พองหนอ-ยุบหนอ)
1.1 ประวัติการสืบทอด
แนวทางวิปัสสนากรรมฐาน “พองหนอ-ยุบหนอ” นี้ ท่านเรียกมาจากวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ซึ่งใช้เวลา 1 ปี ตามประกาศของสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายกในสมัยนั้น จากนั้นท่านได้เดินทางไปศึกษาวิปัสสนาแนวนี้ต่อยังประเทศเมียนมาเป็นเวลา 7 วัน และที่ประเทศอินเดียเป็นเวลา 10 วัน ก่อนจะกลับไปเรียนอย่างจริงจังที่เมืองย่างกุ้งในประเทศเมียนมา เป็นเวลา 2 ปี กับ 7 เดือน อาศัยอยู่วัดกำมะเอระยะหนึ่ง แล้วย้ายไปวัดพญาจี่จองใต้ (เข้าทัดจี่) และก่อนกลับประเทศไทยท่านไปศึกษากับมหาสีสยาดอ ภัททันตะ โสภณมหาเถระพระภิกษุเมียนมา สายวิปัสสนากรรมฐานที่มีชื่อเสียงที่สุดของเมียนมา ณ สำนักสาสนยิสสาเพิ่มเติมอีกเป็นเวลา 1 เดือน
รากเหง้าการศึกษาวิปัสสนากรรมฐานแบบพองหนอ-ยุบหนอนั้น ภัททันตะ อาสภมหาเถระ อัคค มหากัมมัฏฐานาจริยะ พระภิกษุสายวิปัสสนากรรมฐานประเทศเมียนมาศิษย์เอกมหาสีสยาดอ ภัททันตะ โสภณมหาเถระ เขียนไว้ในวิปัสสนาธุระ (2536:42) ว่า
“...สืบย้อนกลับไปได้เมื่อครั้งที่พระโสภณเถระและพระอุตตรเถระพร้อมคณะนำพระพุทธศาสนาจากอินเดียเข้ามาเผยแผ่ในสุวรรณภูมิ ภายหลังตติยสังคายนา...”
ครั้งนั้นเถรานุเถระทั้งสองได้ประดิษฐานพระพุทธศาสนายังเมืองตะโก้ง (Thaton) ปัจจุบันคือเมืองย่างกุ้ง ยังประเทศเมียนมาให้เจริญรุ่งเรือง พุทธศาสนาเมื่อครั้งนั้นได้สืบทอดต่อมา ถึงพุทธศตวรรษที่ 25 สมัยพระวิปัสสนาจารย์ พระมิงกุล เชตะวัน สยาดอ หรือภัททันตะนารเถระ วิปัสสนาจารย์เมืองมะละแหม่ง (เมาะลำเลิง) ผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั้งประเทศเมียนมา มีความชำนาญ ทั้งแบบอานาปานปัพพะ คือการสังเกตการกระทบของลมหายใจเข้าออก บริเวณปลายจมูก และแบบธาตุมนสิการปัพพะ คือ สังเกตอาการพองยุบที่บริเวณท้อง
ท่านมีศิษยานุศิษย์เป็นจำนวนมาก ที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไป คือ มหาสีสยาดอ หรือภัททันตะ โสภณมหาเถระ แห่งเมืองย่างกุ้ง ประเทศเมียนมา ทั้งนี้พระธรรมมังคลาจารย์ วิ. เอง ก็ได้ศึกษาวิปัสสนากรรมฐานจากพระอาจารย์มหาสีสยาดอเป็นระยะเวลาหนึ่ง
มหาสีสยาดอ เกิด พ.ศ. 2447 เป็นผู้ก่อตั้งสมาคมอนุเคราะห์พระพุทธศาสนา ณ กรุงย่างกุ้งขึ้นใน พ.ศ. 2490 เป็นกำลังสำคัญในการจัดพิธีสังคายนา (ฉัฏฐสังคายนา) เมื่อปี พ.ศ. 2497 เขียนปกรณ์วิเสสวิสุทธิมรรค แปลอรรถกถาวิสุทธิมรรค เป็นภาษาเมียนมา แต่งวรรณกรรมพุทธศาสนาอีก 67 เรื่อง เช่น เทศนาว่าด้วยสักกปัญหสูตร วิปัสสนากรรมฐานตามแนวสติปัฏฐานสี่ เป็นต้น