ภาคประชาชนกลืนเลือด ไม่เชื่อมั่น สสส.ปลดล็อกโครงการ
การใช้ม. 44 ให้ 7 บอร์ด สสส.พ้นจากตำแหน่ง สร้างความไม่ไว้วางใจ และความหวาดระแวงให้กับภาคประชาชนอย่างถึงขีดสุด
โดย...ทีมข่าวในประเทศโพสต์ทูเดย์
การใช้มาตรา 44 ให้ 7 คณะกรรมการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (บอร์ด สสส.) ต้องพ้นจากตำแหน่ง ได้สร้างความไม่ไว้วางใจ และความหวาดระแวงให้กับภาคประชาชนอย่างถึงขีดสุด เสมือนเป็น “ฟางเส้นสุดท้าย” ให้ต้องออกมาเปิดตัวในฐานะ “ขบวนการส่งเสริมสุขภาพภาคประชาชน” ภายใต้การรวมตัวของหลายสิบองค์กรภาคี
สิ่งที่ต้องยอมรับก็คือ นับตั้งแต่คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ (คตร.) เข้าตรวจสอบ สสส. เมื่อเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา ได้ทำให้กระบวนการทำงานหลายอย่างในองค์กรต้องหยุดชะงัก โดยเฉพาะการยุติการจ่ายเงินให้หลายร้อยโครงการ จนภาคประชาชนน้อยใหญ่เดือดร้อนกันถ้วนหน้า ถึงขั้นที่ว่า ศ.นพ.ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส ต้องออกมาเตือนรัฐบาลด้วยตัวเองว่า คสช.กำลังทำพลาด
นพ.ยงยุทธ วงศ์ภิรมย์ศานติ์ 1 ใน 7 กรรมการที่ถูกปลด บอกว่า การปรับบทบาท สสส.มีมาแล้ว 3 รอบ คือ 1.ความพยายามเปลี่ยนแปลงในรัฐธรรมนูญชุดที่มี บวรศักดิ์ อุวรรณโณ เป็นประธานยกร่างฯ ที่ให้ยกเลิกภาษีเพื่อจุดประสงค์เฉพาะ (Earmarked Tax) 2.วิกฤตหลังสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ใช้ความเชื่อมโยงผ่านชื่อกรรมการและโครงการที่ได้รับทุน เพื่อให้ สสส.ต้องปรับ พ.ร.บ. ซึ่งก็อยู่ระหว่างปรับระเบียบแล้ว
“อย่างไรก็ตาม ยังไม่ทันจะปรับระเบียบภายในเสร็จสิ้น ก็เกิดขั้นตอนที่ 3 คือการปลดบอร์ดโดยใช้มาตรา 44 ซึ่งไม่เคยมียุคไหนที่ สสส.ถูกควบคุมผ่าน 3 สเต็ป ภายในเวลาไม่ถึงปี สะท้อนให้เห็นว่ามีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนกับ สสส.มาก” นพ.ยงยุทธ ระบุ
นพ.ยงยุทธ เล่าให้ฟังอีกว่า ขณะนี้องค์กรทำงานไม่ได้เลย เพราะวิธีที่ คตร.เข้ามาตรวจสอบโครงการที่เกิน 5 ล้านบาท หรืองบเก่าทั้งหมด ทำให้ 1 ใน 4 ของ 2,000 กว่าโครงการที่ค้างอยู่ทั้งหมด ถูกแช่แข็งไว้กว่า 500 โครงการ ซึ่งวิธีการพิจารณาของ คตร.ก็ทำแบบไม่ทันการณ์ ทำให้ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา โครงการเพื่อเด็ก เยาวชน ผู้สูงอายุ ทำไม่ได้หมด เพราะว่าไม่มีเงิน
“เป็นเรื่องน่าเสียดาย เพราะพอไม่มีเงินภาคีก็ทำงานไม่ได้ แล้วไม่ใช่ว่าพวกเขาทุจริต หรือต่อต้านรัฐบาลทั้งหมด เขาทำงานด้านสุขภาวะ ซึ่งก็คือการช่วยงานรัฐบาลทั้งนั้น” นพ.ยงยุทธ เล่าให้ฟัง
“วันนี้มีการยัดเยียดวาทกรรมให้ สสส. ซึ่งสังคมควรได้รับความเข้าใจ เช่น การที่ คตร.เอารายชื่อมูลนิธิ รายชื่อโครงการมารวมกัน แล้วบอกว่าคนพวกนี้มีผลประโยชน์ทับซ้อน ที่จริงมันไม่เกี่ยวข้องเลย เช่น ผมเป็นกรรมการมูลนิธิเพื่อเด็ก ผมเข้าประชุมปีละ 2 ครั้ง เราไม่เคยได้รับเบี้ยเลี้ยงหรือเงินเดือน และโครงการเหล่านั้นก็ไม่เคยผ่านการพิจารณาของผมเลย ซึ่ง คตร.ก็ไม่เคยเข้ามาคุยกับผม หรือสอบสวนว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร แต่มีการนำบัญชีไปปลดทันที” นพ.ยงยุทธ อธิบาย
คุณหมอยงยุทธ บอกอีกว่า หลังจากนี้ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากรัฐบาลต้องแสดงความชัดเจนว่าจะมีการปลดล็อกการทำงานของ คตร.ตามที่นายกฯ สัญญาไว้ก่อนหน้านี้ รวมถึงต้องให้มีการเลือกบอร์ดชุดใหม่ที่โปร่งใส ซึ่งจะเป็นหลักประกันให้ภาคีและภาคประชาชนเลิกระแวงสงสัยรัฐบาล
ขณะที่ วิวัฒน์ ตามี่ ผู้ประสานงานศูนย์ปฏิบัติการร่วมเพื่อแก้ไขปัญหาประชาชนบนพื้นที่สูง บอกว่า ตอนนี้โครงการที่เขาดูแลต้องยุติการจ้างงานให้กับเจ้าหน้าที่อาสาสมัครกว่า 10 คน รวมถึงต้องค้างจ่ายเงินให้กับล่ามที่เป็นตัวกลางในการทำความเข้าใจสิทธิการรักษาพยาบาลในโรงพยาบาลเขตพื้นที่สูง จ.เชียงราย หลังเงินถูกแช่แข็งจาก สสส. มากกว่า 2 ล้านบาท รวมถึงเงินเดือนของตัวเขาเองก็ถูก
ฟรีซจาก สสส.ด้วยเช่นกัน
“พอข่าวออก ไม่มีการจ่ายเงินลงไป ในพื้นที่ก็มองเราว่าเป็นพวกทุจริต การทำความเข้าใจกับชาวบ้านก็ยากกว่าเดิม โดยที่ สสส.ไม่เคยมีหนังสือชี้แจงมาว่าทำไมจึงต้องระงับการจ่าย และไม่มีความชัดเจนว่าโครงการที่ดำเนินการต่อเนื่องมาแล้วจะทำอย่างไรต่อไป ทุกวันนี้เราก็ได้แต่รออย่างเดียว” เขาระบุ
วิวัฒน์ ไม่เชื่อว่าการประชุมบอร์ด สสส.เพื่อคลี่คลายปัญหาการแช่แข็งเงิน รวมถึงการปรับเปลี่ยนระเบียบการดำเนินงานในวันที่ 15 ม.ค.นี้ จะทำให้โครงการของเขามีความชัดเจนมากขึ้น
“เราไม่เชื่อว่าจะมีข่าวดี เพราะที่บอกจะปลดล็อก ก็เหมือนจะเป็นความเชื่อของ คุณหมอพลเดช (ปิ่นประทีป) เพียงคนเดียว เพราะฉะนั้นโครงการที่มีอยู่ก็คงต้องเคลียร์ รอการตรวจสอบ และปีต่อไปก็คิดว่าอาจจะไม่ได้รับทุนจาก สสส.อีกแล้ว” วิวัฒน์ ระบุ