"บิ๊กต๊อก"แนะสังคมแยกคดีธรรมกายออกจากตั้งสังฆราช
"รมว.ยุติธรรม" ชี้ สังคมต้องแยกคดีวัดธรรมกาย ออกจากประเด็นแต่งตั้งสังฆราช ระบุ ไม่เคยเลือกปฏิบัติ ทุกคดีเป็นไปตามกระบวนการ
"รมว.ยุติธรรม" ชี้ สังคมต้องแยกคดีวัดธรรมกาย ออกจากประเด็นแต่งตั้งสังฆราช ระบุ ไม่เคยเลือกปฏิบัติ ทุกคดีเป็นไปตามกระบวนการ
เมื่อวันที่ 13 ม.ค. ที่กระทรวงยุติธรรม (ยธ.) พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม กล่าวถึงการดำเนินคดีที่เกี่ยวข้องกับวัดพระธรรมกายและพระธัมมชโย ของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และกระแสสังคมที่พยายามโยงคดีดังกล่าวเข้ากับการแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราช ว่า ตนไม่อยากให้ประชาชนนำทั้งสองเรื่องมาเชื่อมโยงกัน เพราะคดีวัดพระธรรมกายเกิดขึ้นก่อนเรื่องการแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราช และคดีวัดพระธรรมกายนั้น ทางดีเอสไอก็ได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง และได้ส่งคดีที่เกี่ยวข้องดังกล่าวไปให้อัยการพิจารณา 3-4 เดือนแล้ว ซึ่งอัยการมีกระบวนการทำงานของตัวเอง และต้องใช้ความรอบครอบในการดำเนินคดี ซึ่งทางเราก็ไม่สามารถเข้าไปยุ่งเกี่ยวได้ จึงต้องไปสอบถามความคืบหน้ากับทางอัยการ
พล.อ.ไพบูลย์ กล่าวต่อว่า ในส่วนของคดีการครอบครองรถหรูของสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ช่วง วรปุญโญ ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชนั้น อยู่ในขั้นตอนดำเนินการของดีเอสไอ ซึ่งยังอยู่ระหว่างกรมศุลกากรประเมินอัตราภาษี พร้อมย้ำว่าตนไม่เคยเลือกปฏิบัติ และไม่เคยกำหนดเงื่อนเวลา เพียงแต่กำชับให้ทำไปตามหน้าที่ ทั้งนี้ ตนไม่อยากให้สังคมมากดดันการสอบสวนคดีว่าคดีใดต้องช้าหรือเร็ว เพื่อให้การสอบสวนเป็นไปตามกระบวนการ ดังนั้น สังคมจึงต้องฟังให้ชัด ส่วนใครจะคัดค้านต้องใช้ข้อพิจารณาให้ดี เราเป็นฝ่ายข้าราชการไม่สามารถไปบังคับให้ต้องทำอย่างไร ถ้าไม่แยกแยะจุดยืนของดีเอสไอจะกลับไปที่สภาพเก่า คือถูกใช้เป็นเครื่องมือ
"ในโลกนี้ใครทำผิดมันปิดบังกันไม่ได้ ใครดีใครชั่วปิดกันไม่ได้ มันจะออกมาเป็นระยะ จะออกช่วงไหนก็เป็นช่วงนั้น การที่มีคนใช้ประโยชน์จากการที่เจ้าหน้าที่ทำงานโดยบริสุทธิ์ใจจะต้องคิดให้มาก เพราะจะทำให้สังคมอยู่ไม่ได้ ทุกคดีผมไม่เคยไปละเมิดเรื่องเวลา ดีเอสไอกำลังดำเนินการ 1 ปี ที่ผ่านมา ถามกันว่าจะยุบหรือไม่ยุบดีเอสไอ ซึ่งผมได้คืนดีเอสไอให้เป็นที่พึ่งของประชาชนได้แล้ว"รมว.ยุติธรรม กล่าว