DSIเผย สกสค.ลงทุนโรงไฟฟ้า 800ล้านเข้าข่ายขัดกฎหมาย
ดีเอสไอ สรุปผลสืบสวนคดี สกสค.ลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานขยะ 800 ล้านบาท พบเข้าข่ายการกระทำความผิดกฎหมายทุจริต
ดีเอสไอ สรุปผลสืบสวนคดี สกสค.ลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานขยะ 800 ล้านบาท พบเข้าข่ายการกระทำความผิดกฎหมายทุจริต
พ.ต.ท.พงศ์อินทร์ อินทรขาว รองอธิบดีดีเอสไอ เปิดเผยความหน้ากรณีตรวจสอบ สำนักงานคณะกรรมการ สกสค. เข้าร่วมลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานขยะชุมชนกับบริษัท หนองคายน่าอยู่ จำกัด. ว่า สืบเนื่องจากศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (ศอตช.) ได้สั่งการให้กรมสอบสวนคดีพิเศษร่วมกับหน่วยงานอื่นๆที่เกี่ยวข้อง ให้ทำการสืบสวน กรณีคณะกรรมการกองทุนเงินสนับสนุนพิเศษและส่งเสริมความมั่นคงตามโครงการสวัสดิการเงินกู้ ช.พ.ค.ของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สำนักงานคณะกรรมการ สกสค.) ได้ร่วมลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานขยะชุมชนกับบริษัท หนองคายน่าอยู่ จำกัด จำนวน 800 ล้านบาท เป็นการดำเนินการโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่นั้น
กรมสอบสวนคดีพิเศษได้ดำเนินการสืบสวนตั้งแต่เดือน สิงหาคม2558 พบว่าการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องรวมทั้งการดำเนินการของบริษัท หนองคายน่าอยู่ จำกัด มีมูลเข้าข่ายการกระทำความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 กฎหมายว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 ซึ่งอยู่ในอำนาจคณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงเห็นควรส่งเรื่องให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.พิจารณาดำเนินการต่อไป และแจ้งเรื่องให้ ศอตช., สำนักงานคณะกรรมการ สกสค. และ สำนักงาน ปปง. ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อ
รายงานข่าวจากดีเอสไอแจ้งว่า สำหรับผลการสืบสวน สรุปดังนี้ 1.อดีตเลขาธิการคณะกรรมการ สกสค.ได้ใช้อำนาจยกเลิกระเบียบของสำนักงานคณะกรรมการ สกสค. ว่าด้วยกองทุนเงินสนับสนุนพิเศษและส่งเสริมความมั่นคงตามโครงการสวัสดิการเงินกู้ ช.พ.ค.(ระเบียบเก่า)เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2554 และได้ออกระเบียบใหม่ฉบับปี พ.ศ.2554 โดยมีการแก้ไขหลักการสำคัญเกี่ยวกับการบริหารกองทุนฯหลายประการ เช่น เดิมประธานคณะกรรมการบริหารกองทุนฯ คือ เลขาธิการคณะกรรมการ สกสค.ซึ่งดำรงตำแหน่งได้ 4 ปี ก็แก้ไขใหม่เป็นประธานกรรมการบริหารกองทุนฯ ได้มาโดยการสรรหาตามหลักการและวิธีการคณะกรรมการ ช.พ.ค. กำหนด และให้ดำรงตำแหน่งได้คราวละ 6 ปี นอกจากนั้นกำหนดให้เลขาธิการคณะกรรมการ สกสค.เป็นรองประธานกรรมการในคณะกรรมการบริหารกองทุนฯ เพื่อให้อดีตเลขาธิการคณะกรรมการ สกสค. เป็นประธานคณะกรรมการบริหารกองทุนฯ และมีอำนาจสั่งการอนุมัติกองทุนฯ ได้ 2.การร่วมลงทุนกับบริษัท หนองคายน่าอยู่ จำกัด ในโครงการพลังงานไฟฟ้าขยะชุมน มีข้อพิรุธ และพบข้อเท็จจริงหลายประการ กล่าวคือ
2.1 การเพิ่มทุนในบริษัท หนองคายน่าอยู่ จำกัด จากมูลค่าหุ้นที่จดทะเบียน 1 ล้านบาท เป็น 1 พันล้านบาทพบว่าเอกสารรายงานการประชุมผู้ถือหุ้นไม่ตรงกับข้อเท็จจริงที่แจ้งต่อนายทะเบียนพาณิชย์ นอกจากนั้นการซื้อขายหุ้นระหว่างกองทุนเงินสนับสนุนพิเศษฯ ช.พ.ค.ในนามสำนักงานคณะกรรมการสกสค.กับบริษัท หนองคายน่าอยู่ จำกัด จำนวน 32 ล้านหุ้นๆละ 25 บาท รวม 800 ล้านบาทเป็นการดำเนินการที่ไม่ถูกต้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เนื่องจากวัตถุประสงค์ของบริษัทตามหนังสือบริคณห์สนธิไม่ได้ให้อำนาจให้บริษัทออกหุ้นที่มีมูลค่ามากกว่าที่ตราไว้ ดังนั้นเงินส่วนเกินจากมูลค่าหุ้นที่ตราไว้
บริษัทจึงรับไว้ในฐานะลาภมิควรได้ส่งผลทำให้สำนักคณะกรรมการ สกสค.ได้รับความเสียหายจากการจ่ายเงินค่าหุ้นเกินกว่าที่ตราไว้
2.2ในช่วงที่มีการดำเนินการซื้อขายหุ้นและเพิ่มทุนของบริษัท หนองคายน่าอยู่ จำกัด มีเจ้าหน้าที่ของสำนักงานคณะกรรมการ สกสค. บางท่านได้รับผลประโยชน์จากบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องบริษัทฯ โดยมีการโอนเงินเข้าบัญชี
2.3 การดำเนินการของบริษัท หนองคายน่าอยู่ จำกัด เกี่ยวกับการดำเนินการโรงไฟฟ้าพลังงานขยะชุมชน พบว่าการทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้าขนาด 3.5 เมกะวัตต์ กับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค
ตามสัญญาฉบับลงวันที่ 3 เมษายน 2556 การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคได้แจ้งสิ้นสุดสัญญาซื้อขายไฟฟ้าของบริษัท หนองคายน่าอยู่ จำกัด เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2558 เนื่องจากไม่สามารถเริ่มต้นซื้อขายไฟฟ้าได้ภายในระยะเวลาที่กำหนด ส่วนกรณีที่ทางบริษัท หนองคายน่าอยู่ จำกัด ได้ยื่นคำร้องขอขายไฟฟ้าจากพลังงานขยะขนาด 4.9 เมกะวัตต์ เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2557 ขณะนี้ยังไม่ได้รับการอนุมัติหรือเริ่มทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคแต่อย่างใด เป็นเหตุให้สำนักงานคณะกรรมการ สกสค.ได้รับ ความเสียหาย