posttoday

"สมควร นกหงษ์" พิสูจน์แกร่งทุนท้องถิ่น

14 เมษายน 2559

"ด้วยกลยุทธ์การตลาดที่เน้นไปที่คนท้องถิ่น ทำเพื่อคนท้องถิ่น และทำห้างให้มีความแตกต่างไปจากคู่แข่ง เพื่อให้น่าเดินน่าช็อปปิ้ง จึงทำให้ห้างสรรพสินค้าแหลมทองอยู่คู่กับคนภาคตะวันออกมาจนถึงทุกวันนี้"

โดย...จะเรียม สำรวจ

หากพูดถึงห้างสรรพสินค้าที่มีชื่อเสียงในภาคตะวันออกหลายคนคงจะนึกถึงห้างสรรพสินค้า “แหลมทอง” แม้ว่าการแข่งขันของธุรกิจค้าปลีกจะมีความรุนแรงมากขึ้น เนื่องจากมีผู้ประกอบการยักษ์ใหญ่ทั้งจากกรุงเทพฯ และต่างชาติเข้ามาเปิดให้บริการห้างค้าปลีกทั้งในรูปแบบห้างสรรพสินค้า และศูนย์การค้า แต่ห้างสรรพสินค้าแหลมทองก็ยังสามารถยืนหยัดอยู่ได้

นั่นเพราะกลยุทธ์การตลาดที่เน้นไปที่คนท้องถิ่น ทำเพื่อคนท้องถิ่น และทำห้างให้มีความแตกต่างไปจากคู่แข่ง เพื่อให้น่าเดินน่าช็อปปิ้ง จึงทำให้ห้างสรรพสินค้าแหลมทองอยู่คู่กับคนภาคตะวันออกมาจนถึงทุกวันนี้

จากความสำเร็จของห้างสรรพสินค้าแหลมทองที่ สมควร นกหงษ์ ประธานบริหาร ในเครือแอลที กรุ๊ป เจ้าพ่อการค้าแห่งภาคตะวันออกได้รับนั้น พิสูจน์ได้จากปัจจุบันธุรกิจของสมควรไม่ได้หยุดอยู่แค่ห้างสรรพสินค้าแหลมทอง 2 สาขาที่แบ่งให้ลูกๆ ทั้งสองคนดูแลเท่านั้น คือ ปัทมาพร นกหงษ์  ดูแลห้างสรรพสินค้าแหลมทอง ระยอง ซึ่งปัจจุบันเปลี่ยนเป็นแพชชั่น บาย แหลมทอง ระยอง

สำหรับห้างสรรพสินค้าแหลมทองอีก 1 สาขา คือ ห้างสรรพสินค้าแหลมทองบางแสน สมควรได้มอบหมายให้ลูกชาย คือ ปราการ นกหงษ์ เป็นผู้ดูแลควบคู่ไปกับธุรกิจในเครืออื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นศูนย์รวมสินค้าและบริการด้านไอทีภายใต้ชื่อ ตึกคอม ธุรกิจศูนย์การค้าฮาร์เบอร์ ธุรกิจโรงแรมและเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ภายใต้แบรนด์ บาร์โคนี ธุรกิจสำนักงานให้เช่า ฮาร์เบอร์ ออฟฟิศ และสแควร์ ออฟฟิศ ธุรกิจผู้ให้บริการเช่าสื่อป้ายโฆษณา w@bkit และธุรกิจศูนย์กลางกิจกรรมความบันเทิงของครอบครัว ฮาร์เบอร์แลนด์, ดีฟ และจัมพ์เอ็กซ์แอล เป็นต้น

สมควร เล่าว่า เหตุผลที่หันเข้ามาทำธุรกิจค้าปลีกในรูปแบบต่างๆ เพราะลูกชาย คือ ปราการ นกหงษ์ ชอบและอยากมีธุรกิจค้าปลีกเป็นของตัวเอง ซึ่งถือเป็นความใฝ่ฝันมาตั้งแต่เด็ก หลังจากได้พาไปเที่ยวห้างเซ็นทรัล สีลม เมื่อตอนเด็ก ปราการ ลูกชายชอบมาก เมื่อโตมาเรียนจบเลยขอทำเลยตามใจลองทำดู ซึ่งหลังทำก็ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี

ก่อนหน้าที่ สมควรจะก้าวเข้าสู่ธุรกิจค้าปลีกได้ผ่านประสบการณ์การทำงานมาหลากหลายรูปแบบไม่ว่าจะเป็นการทำนา ขายน้ำแข็งไส ขายฝรั่งดอง หรือทำปลาหมึกส่งให้ห้างค้าปลีก ถือเป็นการต่อสู้ที่ผ่านมาทุกอุปสรรค

“ตอนผมอายุ 27 ปี ผมมีอาชีพเป็นชาวนา ซึ่งหากจะให้เล่าย้อนกลับไปถึงช่วงที่เริ่มทำธุรกิจจริงๆ ก็ตอนเริ่มทำน้ำแข็งไส ทดลองทำได้ 6 เดือน ก็ออกมาขายฝรั่งดอง อาชีพนี้ทำนานหน่อย หลังจากขายฝรั่งดองได้ 6 ปี ก็ออกมาขายปลาหมึกส่งให้กับห้าง ธุรกิจนี้ทำได้นาน 7-8 ปี เหมือนกัน พอทำมาพักใหญ่ก็เริ่มมีเงิน และหันมาซื้อที่ดินเก็บไว้ เพราะราคาที่ดินตอนนั้นไม่แพง”

เหตุผลที่ สมควรเลือกที่จะซื้อที่ดินสะสมไว้มากๆ ส่วนหนึ่งเกิดจากความชอบ และอีกส่วนหนึ่งเป็นเพราะการมีที่ดินสะสมไว้จำนวนมากๆ ทำให้ร่ำรวย และสามารถต่อยอดนำไปทำธุรกิจอะไรต่างๆ ได้อีกมากมาย ซึ่งจากความชอบดังกล่าว ปัจจุบัน สมควรมีที่ดินเปล่าเพื่อรอการพัฒนาใน จ.ระยองและชลบุรีไม่ต่ำกว่า 1,000 ไร่

“ผมเริ่มซื้อที่ดินสะสมมาตั้งแต่อายุ 35 ปี ที่ดินผืนแรกที่ซื้อมา คือ ย่านศรีราชาจำนวน 38 ไร่ ที่ซื้อที่ดินได้เยอะ เพราะราคาที่ดินในสมัยนั้นราคาไม่แพง พอมีเงินก็เลยซื้อเก็บไว้เลย ซึ่งหลังจากมีที่ดินหลายแปลงสะสมไว้ในหลายพื้นที่ ผมก็เริ่มเอามาพัฒนาเป็นโครงการที่อยู่อาศัยในรูปแบบบ้านจัดสรรภายใต้ชื่อ หมู่บ้านแหลมทอง มีจำนวนยูนิตที่ขายทั้งหมดประมาณ 100 ยูนิต ซึ่งหลังจากเปิดตัวโครงการและเปิดขายก็ได้ผลการตอบรับเป็นอย่างดี ทำให้ผมคิดว่าผมมีดวงเรื่องอสังหาริมทรัพย์ในรูปแบบที่อยู่อาศัย พอเห็นที่ดินตรงไหนสวยก็ซื้อเลย”

หลังจากประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีกับโครงการหมู่บ้านแหลมทอง สมควรก็เดินหน้าพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยอื่นๆ ตามมาอีกหลายรูปแบบไม่ว่าจะเป็นคอนโดมิเนียม  เซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ ห้างค้าปลีก อาคารสำนักงาน ตลอดจนโรงแรม ซึ่งกระจายอยู่ตามสถานที่ต่างๆ ใน จ.ระยอง ชลบุรี อุดรธานี และขอนแก่น

เมื่อถามถึงความยากง่ายระหว่างการทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในรูปแบบที่อยู่อาศัย และห้างค้าปลีก สมควรบอกว่าทั้งสองธุรกิจไม่ค่อยมีความแตกต่างกัน เพราะไม่ว่าจะธุรกิจไหนก็ต้องทำเพื่อลูกค้า และทำให้ลูกค้ามีความสุข ซึ่งในอนาคตอันใกล้นี้ สมควรก็มีแนวคิดที่จะนำที่ดินจำนวน 350 ไร่ ใน อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี มาพัฒนาเป็นโครงการมิกซ์ยูสที่ผสมผสานระหว่างโครงการที่อยู่อาศัยและห้างค้าปลีกเข้าไว้ด้วยกัน

นอกจากจะมีธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในรูปแบบต่างๆ แล้ว สมควรยังมีธุรกิจรถทัวร์ ภายใต้ชื่อ ศรีราชาทัวร์ วิ่งรับส่งผู้โดยสารกรุงเทพฯ-ศรีราชา กรุงเทพฯ-บางแสน กรุงเทพฯ(เอกมัย)-แหลมฉบัง กรุงเทพฯ(หมอชิต)-แหลมฉบัง กรุงเทพฯ(สายใต้ใหม่)-แหลมฉบัง และเส้นทางภาคใต้  เป็นต้น

“ธุรกิจรถทัวร์ตอนนี้การแข่งขันสูง เพราะมีรถตู้เข้ามาตีตลาด ทำให้เราต้องปรับตัวในบริษัท ด้วยการเพิ่มรูปแบบรถให้มีความหลากหลายไม่ว่าจะเป็นรถมินิบัส หรือรถตู้ ซึ่งปัจจุบัน ศรีราชาทัวร์ ของเรามีรถที่วิ่งให้บริการลูกค้าตามเส้นทางต่างๆ กว่า 100 คัน โดยในส่วนของรถทัวร์ก็ได้ปรับรูปแบบการให้บริการเพิ่มเป็นแบบเช่าในราคาไม่แพง คือ วันละประมาณ 8,000 บาท ขณะที่ผู้ประกอบการอื่นให้เช่ารถทัวร์วันละประมาณ 9,000-1 หมื่นบาท”

จากจำนวนรถทัวร์ที่มีอยู่จำนวนมาก ส่งผลให้สมควรเล็งเห็นโอกาสในธุรกิจปั๊มแก๊ส เพื่อต่อยอดธุรกิจและรองรับรถทัวร์ของตัวเอง พร้อมกับจำหน่ายให้กับลูกค้า ด้วยการโดดเข้ามาทำธุรกิจปั๊มแก๊สภายใต้ชื่อ แอลที เป็นปั๊มแก๊สขนาดใหญ่ เนื่องจากมีหัวจ่ายให้บริการทั้งหมด 20 หัวจ่าย

“การหันมาทำธุรกิจปั๊มแก๊ส เพราะเราทำธุรกิจรถทัวร์ จากที่เราต้องเสียเงินจำนวนมากให้กับคนอื่น เราเลยทำปั๊มแก๊สของตัวเองดีกว่า และเนื่องจากปั๊มของเราอยู่ใกล้กับท่อส่งแก๊ส เลยทำให้ปั๊มของเราสามารถวางท่อตรงจากแหล่งส่งถึงปั๊มได้โดยตรง ทำให้การเติมแก๊สของปั๊มเราเร็วและแรง จนมียอดขายแก๊สเป็นอันดับ 1 และอันดับ 2 ของไทย”

ด้วยธุรกิจที่หลากหลาย ส่งผลให้ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา สมควรทำงานวันละไม่ต่ำกว่า 18 ชั่วโมง เนื่องจากมีหลายธุรกิจให้ต้องเข้าไปดูแล แม้ว่าปัจจุบันจะก้าวเข้าสู่วัย 74 ปีแล้ว และเริ่มแบ่งธุรกิจให้ลูกๆ ช่วยกันดูแล แต่เขายังคงต้องทำงานหนักเฉลี่ยวันละ 14 ชั่วโมง เพราะเป็นคนชอบทำงาน จึงทำให้ทุกวันที่ได้ทำงานเป็นวันที่มีความสุข

“ผมเป็นคนชอบทำงาน ตอนนี้ก็ยังคงทำงานเหมือนเดิม แต่ก็เริ่มให้ลูกๆ เข้ามาช่วยกันดูแลธุรกิจบ้างแล้ว ซึ่งลูกๆ เขาก็เก่ง เพราะเติบโตมากับธุรกิจ ตอนนี้พออายุมากขึ้นผมก็เริ่มหันมาดูแลสุขภาพมากขึ้น เช้ามาก็ไปออกกำลังกาย พอ 8 โมงก็ไปทำงาน ผมมีความสุขที่ได้ทำงาน ตลอดชีวิตที่ผ่านมาผมไม่เคยป่วย เพราะผมดูแลสุขภาพ ชอบเดิน ซึ่งสถานที่ที่ผมชอบไปเดินก็สวนสุขภาพศรีราชา แม้ว่าตอนนี้ผมจะอายุเยอะ แต่ผมก็จะทำงานต่อไปเรื่อยๆ เพราะเป็นคนอยู่เฉยๆ ไม่ได้ พอได้ทำงาน ได้พูด ได้คุยแล้วก็ไม่เครียด”

แม้ว่าตอนนี้จะเริ่มวางมือ แต่สมควรก็ยังเป็นเจ้าโปรเจกต์และคงต้องจับตาว่าที่ดินที่เหลืออีกกว่า 1,000 ไร่ จะถูกพัฒนาเป็นอะไรต่อไปเพื่อก้าวที่ยืนหยัดอย่างแข็งแกร่งของเจ้าพ่อการค้าแห่งภาคตะวันออกคนนี้

\"สมควร นกหงษ์\" พิสูจน์แกร่งทุนท้องถิ่น

เคล็ดลับสู้ยักษ์ค้าปลีก

จากการแข่งขันที่รุนแรงของธุรกิจค้าปลีกในปัจจุบัน โดยเฉพาะในภาคตะวันออกอย่างพัทยาและระยอง ส่งผลให้ผู้ประกอบการห้างค้าปลีกท้องถิ่นอย่างห้างสรรพสินค้าแหลมทอง ต้องออกมาปรับเกมรุกเพื่อรับมือกับสมรภูมิการแข่งขันที่รุนแรง เริ่มต้นด้วยการปรับภาพลักษณ์ของห้างสรรพสินค้าแหลมทองระยอง ซึ่งมีพื้นที่ค้าปลีก 1.5 ตารางเมตร ให้เป็นศูนย์การค้าที่ทันสมัย ด้วยการใช้งบ 600 ล้านบาท รีโนเวตพื้นที่ค้าปลีกใหม่ทั้งหมด พร้อมกับเปลี่ยนชื่อจากห้างสรรพสินค้าแหลมทองระยอง เป็น “แพชชั่น บาย แหลมทอง ระยอง”

นอกจากนี้ ยังได้ใช้งบลงทุนอีก 2,000 ล้านบาท สร้างโรงแรมขนาดใหญ่บริเวณด้านหน้าศูนย์แพชชั่น บาย แหลมทอง ระยอง สูง 32 ชั้น จำนวน 288 ห้อง เพื่อสร้างความครบวงจรให้กับธุรกิจค้าปลีก ซึ่งในส่วนของโรงแรมดังกล่าวได้มีการว่าจ้างเชนอินเตอร์คอนติเนนตัล โฮเต็ล กรุ๊ป เข้ามาบริหารโรงแรม

สาเหตุที่ทำให้ สมควร นกหงษ์ ต้องปรับภาพลักษณ์ครั้งใหญ่ของห้างสรรพสินค้าแหลมทองระยอง เนื่องจากการแข่งขันเริ่มมีความรุนแรงมากขึ้น ภายหลังจากยักษ์ค้าปลีกรายใหญ่อย่างบริษัท เซ็นทรัลพัฒนา หรือซีพีเอ็น เข้ามาเปิดให้บริการศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา ระยอง และผู้ที่ต้องมารับหน้าที่สานต่อธุรกิจห้างสรรพสินค้าแหลมทองระยองและธุรกิจโรงแรม ซึ่งจะเปิดให้บริการในปลายปีนี้ คือ ปัทมาพร นกหงษ์ บุตรสาว

อีกหนึ่งพื้นที่ค้าปลีกที่ทำให้สมควรต้องออกมาปรับเกมรุกธุรกิจค้าปลีกท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรง คือ พัทยา ด้วยการเปิดตัว “ฮาร์เบอร์ พัทยา” ศูนย์การค้ามหาสนุกที่มาพร้อมฮาร์เบอร์ แลนด์ สวนสนุกในร่มใหญ่ที่สุดในเอเชีย ชูจุดเด่นของการเป็นช็อปปิ้งมอลล์สำหรับครอบครัว ที่ออกแบบมาเฉพาะเพื่อให้กลุ่มครอบครัวเข้ามาเดินช็อปปิ้งและใช้เวลาแห่งความสุขร่วมกัน

ขณะที่ก่อนหน้านี้ ได้นำแบรนด์ฮาร์เบอร์เข้าไปแทนที่ห้างสรรพสินค้าแหลมทอง แหลมฉบัง เมื่อปี 2552 เพื่อให้ภาพของห้างสรรพสินค้าแหลมทองมีความทันสมัยตรงกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมายคนรุ่นใหม่ ซึ่งผู้ที่เข้ามารับหน้าที่บริหารศูนย์การค้าฮาร์เบอร์ ต่อจากสมควร คือ ปราการ นกหงษ์ บุตรชาย

การออกมาปรับแผนการทำธุรกิจค้าปลีก ด้วยการสร้างความแตกต่างในด้านของบริการและสินค้า โดยเฉพาะในพื้นที่พัทยา เพราะสมควรมองว่า การแข่งขันของห้างค้าปลีกในพัทยามีความรุนแรง เนื่องจากมีศูนย์การค้าขนาดเข้ามาเปิดให้บริการจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นศูนย์การค้าเซ็นทรัล เฟสติวัล พัทยา บีช ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เซ็นเตอร์ ศูนย์การค้าฮาร์เบอร์มอลล์ ศูนย์การค้าไมค์ช็อปปิ้ง มอลล์ พัทยา ห้างบิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ ห้างเทสโก้ โลตัส  หรือห้างแม็คโคร

นอกจากนี้ ในอนาคตอันใกล้ยังจะมีศูนย์การค้าขนาดใหญ่เข้ามาเปิดให้บริการเพิ่มอีก ไม่ว่าจะเป็นศูนย์การค้าเทอร์มินอล 21 ของบริษัท สยาม รีเทล ดีเวลล็อปเม้นท์ ในเครือแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ หรือศูนย์ค้าปลีกขนาดใหญ่ในเครือบริษัทของ เจริญ สิริวัฒนภักดี

\"สมควร นกหงษ์\" พิสูจน์แกร่งทุนท้องถิ่น

แม้ว่าการแข่งขันจะรุนแรง แต่ธุรกิจค้าปลีกของสมควรในแต่ละแห่งก็ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี เช่นเดียวกับธุรกิจอื่นๆ ในเครือบริษัท ซึ่งจากความสำเร็จที่ได้รับดังกล่าว ส่งผลให้สมควรได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาบริหารธุรกิจจาก American Coastline University สหรัฐอเมริกา เนื่องจากเป็นบุคคลที่ประสบความสำเร็จดีเด่นในด้านการบริหารธุรกิจจนเป็นที่ยอมรับของวงการนักบริหารทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพราะได้มีการบุกเบิกกิจการของของตัวเองตั้งแต่กิจการเล็กๆ จนกระทั่งสามารถขยายกิจการบริษัทในเครือออกไปถึง 7 บริษัท มีพนักงานในความรับผิดชอบกว่า 3,000 คน มีเงินลงทุนหมุนเวียนในการดำเนินงานหลายพันล้านบาท

จากความสำเร็จดังกล่าว จึงนับได้ว่า สมควร  นกหงษ์ เป็นผู้ที่มีความสามารถในด้านการจัดการธุรกิจในกลุ่มบริษัททั้ง 7 แห่งได้อย่างมีประสิทธิภาพ และปัจจุบันก็ยังคงมีการขยายกิจการออกไปอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจที่ดิน หมู่บ้านจัดสรร ห้างสรรพสินค้า โรงแรม คอนโดเทล รถโดยสารประจำทางปรับอากาศ หรือศูนย์การค้าต่างๆ

ด้วยความสำเร็จและความสามารถที่มี ยังทำให้สมควรได้รับการยกย่องให้ดำรงตำแหน่งประธานสภาจังหวัด นายกสโมสรไลอ้อนศรีราชา ที่ปรึกษาหอการค้าจังหวัดชลบุรี และตำแหน่งอื่นๆ อีกมากมาย

นอกเหนือจากการบริหารบริษัทในเครือและตำแหน่งสำคัญต่างๆ ภายใน จ.ชลบุรี สมควรยังได้อุทิศตนให้เป็นประโยชน์ต่อสังคม ด้วยการเข้าไปช่วยเหลืองานของสมาคม กิจการการกุศล สถาบันการศึกษาหลายแห่งในรูปแบบต่างๆ  รวมทั้งการบริจาคเงินเพื่อการกุศล