ตร.แจงหลักฐานยังไม่พอแจ้งข้อหาฆ่าโดยไตร่ตรองคดีแทงชายพิการ
รักษาราชการแทน ผบช.น.เผยพยานหลักฐานยังไม่พอแจ้งข้อหาฆ่าโดยไตร่ตรองในคดีทำร้ายชายพิการเสียชีวิต ขณะที่ทนาย-ญาติยื่นหนังสือร้องผบ.ตร.
รักษาราชการแทน ผบช.น.เผยพยานหลักฐานยังไม่พอแจ้งข้อหาฆ่าโดยไตร่ตรองในคดีทำร้ายชายพิการเสียชีวิต ขณะที่ทนาย-ญาติยื่นหนังสือร้องผบ.ตร.
เมื่อวันที่ 16 พ.ค. พล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจนครบาล แถลงชี้แจงคดีกลุ่มวัยรุ่นรุมทำร้ายชายพิการจนเสียชีวิตว่า เจ้าหน้าที่ทำคดีดังกล่าวอย่างเต็มที่ โดยคดีนี้มีผู้ต้องหา 4 คน จากทั้งหมด 7 คน เป็นลูกข้าราชการตำรวจ ซึ่งตั้งแต่เริ่มต้นคดี ตำรวจเดินหน้าอย่างเต็มที่ ตั้งแต่การจับกุม ต่อมาดำเนินการแจ้งข้อกล่าวหา ที่พนักงานสอบสวน สน.โชคชัย ได้แจ้ง 3 ข้อหา กับกลุ่มผู้ต้องหา คือ ข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา บุกรุกเคหะสถาน และพกพาอาวุธ ซึ่งทั้งหมดนี้ มีพยานหลักฐานที่ปรากฎชัดเจนว่าเป็นการกระทำความผิด
ขณะที่ในข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ที่ทนายความและทางครอบครัว เรียกร้องให้ทางพนักงานสอบสวนดำเนินการแจ้งข้อหานั้น จากการเก็บรวบรวมพยานหลักฐานและสอบปากคำพยานบุคคล ขณะนี้ ยังไม่ปรากฏข้อเท็จจริงที่เข้าความผิดข้อหานี้ ทำให้ไม่สามารถแจ้งข้อหานี้ได้ เนื่องจากการเข้าข่ายคำว่าไตร่ตรอง ต้องมีการเตรียมการวางแผนมาแล้วว่าตั้งใจจะก่อเหตุฆ่าคู่กรณีอย่างแน่นอน ซึ่งหากพนักงานสอบสวนดำเนินการแจ้งข้อหานี้ตามกระแสสังคมหรือทำตามความรู้สึก จะเป็นการกระทำไม่ชอบ ผิดจรรยาบรรณ และไม่สมควร เช่นเดียวกับกรณีที่มีการเรียกร้องให้แจ้งข้อกล่าวหาดังกล่าวไปก่อนและให้ศาลเป็นผู้ตัดสินนั้น ถือเป็นการทำให้วิชาชีพมีมาตรฐานที่ตกต่ำ ทั้งที่ควรจะให้น้ำหนักกับพยานหลักฐานตามข้อเท็จจริง
วันเดียวกัน นายอนันต์ชัย ไชยเดช ทนายความพร้อมกับครอบครัวของ นายสมเกียรติ ศรีจันทร์ ผู้เสียชีวิต ได้ยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมต่อ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เพื่อขอให้พนักงานสอบสวน สน.โชคชัย พิจารณาแจ้งข้อหาผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน
นายอนันตชัย กล่าวว่า จากหลักฐานที่ได้จากภาพกล้องวงจรปิด พบว่า 2 ใน 7 ผู้ต้องหามีการโทรศัพท์เรียกพวกมาและมีการจัดเตรียมอาวุธมาทำร้ายผู้ตายด้วย จึงถือว่ามีการเตรียมการไว้เรียบร้อยและเข้าองค์ประกอบความผิด จึงมาร้องขอความเป็นธรรม เพื่อให้นำข้อหานี้เข้าสู่การกระบวนการพิจารณาของศาลด้วย พร้อมยืนยันว่า ไม่ได้ติดใจการทำงานของพนักงานสอบสวนของ สน.โชคชัย ยังเชื่อว่าพนักงานสอบสวนไม่เข้าข้างผู้ต้องหาและเชื่อว่ามีการสอบปากคำพยานครบถ้วนแล้ว
"การมาร้องขอความเป็นธรรมครั้งนี้ไม่ใช่การทำตามกระแสสังคม แต่ต้องการให้คดีเกิดความเป็นธรรม ส่วนกระแสการขอโอนย้ายสำนวนคดีไปกองปราปปรามนั้น ยืนยันว่าไม่มีความคิดนี้เพราะจะทำให้ขบวนการทางคดีล่าช้า เพราะเวลาถือเป็นตัวฆ่าความยุติธรรม"นายอนันตชัยกล่าว
ภาพจาก สวพ.FM91