โทรทัศน์เสียทั้งปี
กระทั่งวันหนึ่ง ผมได้ทราบเรื่องที่ทำให้ผมต้องตัดสินใจซื้อโทรทัศน์ให้ลูกทันที ผมเพิ่งรู้ว่าการที่ลูกของผมจะได้ดูโทรทัศน์
โดย...ซิวซี แซ่ตั้ง
กระทั่งวันหนึ่ง ผมได้ทราบเรื่องที่ทำให้ผมต้องตัดสินใจซื้อโทรทัศน์ให้ลูกทันที ผมเพิ่งรู้ว่าการที่ลูกของผมจะได้ดูโทรทัศน์กับเพื่อนบ้านนั้น พวกเขาต้องยอมให้ลูกเจ้าของโทรทัศน์ “เขกหัว” คนละโป๊กสองโป๊ก เพื่อเป็น “ค่าตั๋ว” สำหรับดูโทรทัศน์ ความจริงเรื่องนี้ลูกๆ ไม่เคยบอก แต่ผมไปรู้มาเอง คิดว่าพวกเขาคงกลัวว่าผมจะห้ามไม่ให้ไปดูอีก
ผมรู้สึกโกรธและเสียใจ ทำไมคนเหล่านั้นถึงใจร้ายกับเด็ก ทำไมต้องเขกหัวลูกของผม กับแค่การขอดูโทรทัศน์ ผมเคืองจนแทบอยากไล่พวกเขาออกจากบ้านเช่า ความเคืองแค้นทำให้ผมกัดกรามจนเป็นสันนูน โกรธตัวเองที่น่าจะซื้อโทรทัศน์ให้ลูกดูตั้งนานแล้ว
“พ่อผิดเอง พวกนั้นเขกหัวลูกไปไม่ รู้เท่าไรแล้ว พ่อไม่ดีเองที่ปล่อยให้ลูกโดนรังแก”
หลังจากรู้ความจริง ผมตัดสินใจซื้อโทรทัศน์จอใหญ่ขาวดำ ขนาด 21 นิ้ว ใหม่เอี่ยม ยี่ห้ออาร์ซีเอให้ลูกๆ ดูทันที ในสมัยนั้นถือว่าเป็นรุ่นหรู เหนือชั้นจากที่ลูกๆ เคยไปขอบ้านอื่นดู เป็นโทรทัศน์แบบที่มีขาตั้งด้วย ราคาราวๆ 5,000 บาท ซึ่งถือว่าเป็นของแพง สำหรับคนมีเงินเท่านั้นที่จะซื้อได้
โทรทัศน์ราคาแพงเกือบ 5,000 บาทนั้น ผมไม่มีปัญญาจ่ายได้ ผมใช้วิธีผ่อนส่งเดือนละประมาณ 400 บาท ผ่อนจ่ายเป็นเวลา 24 เดือน ซึ่งเป็นข้อเสนอพิเศษจากร้านขายโทรทัศน์ คนแถวนั้นมีเพียงโทรทัศน์จอเล็กๆ ขนาด 14-17 นิ้วเท่านั้น
แน่นอนว่า เรื่องที่ผมซื้อโทรทัศน์เครื่องใหญ่ รุ่นทันสมัย ย่อมกลายเป็นข่าวดังไปทั่วละแวกนั้น ทำให้หลายๆ คนอิจฉาตาร้อนขึ้นมาทีเดียว
ผมมีความสุข ลืมความขุ่นเคืองที่ลูกๆ ต้องเจ็บเนื้อเจ็บตัวเอาหัวไปให้คนข้างบ้านเขก เพื่อจะได้ดูโทรทัศน์ แต่ความสุขในเรื่องโทรทัศน์ก็ไปๆ มาๆ ถึงซื้อโทรทัศน์มาให้ลูกๆ ได้ดู แต่โทรทัศน์ที่ใช้ดูกันก็ต้องเดี๋ยวมี เดี๋ยวหาย ถูกยกเข้าโรงจำนำบ่อยๆ เพราะช่วงนั้นเป็นช่วงที่หมุนเงินไม่ทันตลอด ต้องแลกเช็คหรือไม่ก็ต้องวิ่งเข้าโรงรับจำนำเป็นว่าเล่น
สาเหตุที่ความสุขไปๆ มาๆ เพราะเมื่อใดที่ผมต้องยกโทรทัศน์เข้าโรงรับจำนำ มักได้ยินเสียงลูกๆ ถามกันเซ็งแซ่ว่า “ทำไมพ่อเอาโทรทัศน์ไปซ่อมบ่อยจัง” ผมพูดปดลูกว่า “โทรทัศน์เสีย” เพราะไม่อยากทำให้พวกเขาไม่สบายใจ อีกทั้งรู้สึกละอาย เหมือนผมเป็นพ่อที่แย่ ไม่มีเงิน ถึงขนาดเอาของในบ้านไปจำนำ คนเป็นพ่อคงเข้าใจถึงความรู้สึกนี้ดี
“ทำไมโทรทัศน์เราเสียทั้งปี บ้านอื่นไม่เห็นเขาเสียเลย” ลูกผมคนหนึ่งตั้งข้อสงสัย
ความจริงเงินจากการจำนำโทรทัศน์ไม่ใช่เงินมากมายอะไร หากแต่บางครั้งที่เช็คถึงกำหนด ต้องนำเงินเข้าบัญชีให้ทัน ไม่อย่างนั้นเช็คก็ไม่ผ่าน เงินเพียงน้อยนิดที่เติมเข้ามาเพื่อให้ครบจำนวนจึงมีค่ามากมายมหาศาล เพราะทำให้เครดิตของเรายังดีอยู่
ดังนั้น โทรทัศน์ที่บ้านซึ่งมีไว้ให้ลูกได้ดูกันอย่างสนุกสนานทุกวัน จึงเป็นเป้าหมายแรก ที่เวลาผมหน้ามืด หาเงินจากที่ไหนไม่ได้ ผมต้องยกไปจำนำเพื่อให้ได้เงินมาหมุนแก้ปัญหาเงินเข้าเช็คไม่ทัน
แม้ว่าผมไม่อยากทำเช่นนั้นเลย เพราะรู้ว่าลูกๆ มีความสุขกับการได้ดูโทรทัศน์มาก ซึ่งเป็นความบันเทิงอย่างเดียวที่ผมจะให้กับลูกได้ ทุกวันเมื่อลูกๆ กลับจากโรงเรียน พอถึงบ้านก็ทิ้งกระเป๋าไว้ทางหนึ่ง จากนั้นจะวิ่งหาอะไรในบ้านกินกันด้วยความหิว พร้อมๆ กับเปิดโทรทัศน์ดูไปด้วย พวกเขาเหน็ดเหนื่อยและเครียดจากการเรียนมาแล้วทั้งวัน
การดูโทรทัศน์ทำให้พวกเขารู้สึกดีขึ้น เมื่อไม่มีโทรทัศน์ พอพวกเขากลับมาถึงบ้านก็มักทำหน้าเศร้า เหงาไปทันที แล้วมักถามหาว่า “โทรทัศน์ไปไหน” ผมจะตอบลูกว่า “พ่อเอาไปซ่อม...”
ผมตอบลูกๆ อย่างนั้นเป็นประจำ เรียกว่าซ่อมกันแทบทุกเดือน บางเดือนซ่อมที 2 ครั้ง ตอนหลังพวกเขาเริ่มไม่ถามแล้วว่าโทรทัศน์ไปไหน แต่เปลี่ยนคำถามเป็น
“โทรทัศน์เสียอีกแล้วเหรอ ทำไมเสียบ่อยจัง”
ผมต้องกล้ำกลืนฝืนทน รู้สึกเหมือนหัวใจถูกบีบอย่างแรง แต่ไม่กล้าบอกความจริงกับลูก ตอบเพียงว่า “เดี๋ยวพ่อจะไปเร่งให้เขาซ่อมเสร็จเร็วๆ”
ผมก็ต้องรีบหาเงินเพื่อนำไปไถ่โทรทัศน์ออกจากโรงรับจำนำให้ได้ แต่บางทีต้องใช้เวลาหลายวัน ในช่วงที่ไม่มีโทรทัศน์ ลูกๆ ของผมจะดิ้นรนออกจากบ้านขอไปดูโทรทัศน์ที่อื่น ที่อื่นนั้นก็คือบ้านของเพื่อนบ้าน แต่ข้อตกลงเดิมที่ต้องให้พวกเขาเขกหัวอีก บอกตรงๆ ผมรับไม่ได้ แต่เมื่อเงินหมุนไม่ทัน ผมต้องยกโทรทัศน์ไปจำนำ ผมทำได้แค่สั่งห้ามลูกไม่ให้ไปดูโทรทัศน์บ้านอื่น แล้วพยายามรีบไถ่โทรทัศน์ออกมาให้เร็วที่สุด
(อ่านต่อฉบับวันเสาร์หน้า)