ปริมาณและคุณภาพ (ที่ไม่สอดคล้อง) ของ (ว่าที่) ดอกเตอร์ไทย

27 มิถุนายน 2559

โดย...ศ.ดร.พิริยะ ผลพิรุฬห์

โดย...ศ.ดร.พิริยะ ผลพิรุฬห์

ด้วยโอกาสทางการศึกษาที่เปิดกว้างมากขึ้น มีทางเลือกมากขึ้น (โดยเฉพาะกับคนมีเงิน) ตลาดแรงงานที่ให้ความสำคัญกับวุฒิการศึกษา ส่งผลให้ความต้องการเรียนต่อปริญญาโทและปริญญาเอกกลายเป็นเรื่องปกติในไทย ซึ่งมหาวิทยาลัยก็ตอบสนองอย่างรวดเร็ว มีการเปิดหลักสูตรในระดับปริญญาโทและปริญญาเอกเป็นดอกเห็ดในกว่า 10 ปีที่ผ่านมา แต่คำถาม คือ 1) หลักสูตรเหล่านั้นตอบสนองความต้องการในตลาดแรงงานบ้างหรือไม่ ที่สำคัญกว่า คือ 2) หลักสูตรเหล่านั้นมีคุณภาพดีเพียงใด ผู้สำเร็จการศึกษามีทักษะที่สมศักดิ์ศรีเป็นมหาบัณฑิต (ที่แปลว่าผู้มีความรู้มาก) และดุษฎีบัณฑิต (ที่แปลว่าผู้มีความรู้ที่ควรได้รับการยกย่องชื่นชม) มากน้อยเพียงใด

โดยส่วนตัว ผมคิดว่าตอนนี้เราต้อง “ทำใจ” กับบัณฑิตที่จบปริญญาโทได้แล้ว การเรียนต่อเพียง 1-2 ปี จำนวน 36 หน่วยกิต น้อยมากที่จะพัฒนาคนเหล่านั้นให้เป็นผู้มีความรู้มากอย่างแท้จริง และการแข่งขันระหว่างมหาวิทยาลัยที่ให้บัณฑิตสามารถ “หนีที่ที่ได้คุณภาพสูงแต่เข้มงวดไปที่เรียนง่ายกว่าและมีคุณภาพต่ำกว่า” เพิ่มขึ้น (จนท้ายที่สุดมหาวิทยาลัยที่ได้คุณภาพอาจจำเป็นต้องลดคุณภาพลงเพื่อดึงไม่ให้เด็กเหล่านั้นหนีไป) มหาบัณฑิตที่จบมาส่วนใหญ่จึงไม่ได้คุณภาพในสายตานายจ้าง ทำงานไม่ต่างกับวุฒิปริญญาตรี อย่างที่ทราบกันดี

แม้จะทำใจในระดับปริญญาโทไปแล้ว แต่ที่ยังยอมไม่ได้ (และหงุดหงิดใจมากๆ) คือหลักสูตรปริญญาเอก เพราะคนจบปริญญาเอก (หรือดอกเตอร์) ที่ไม่ได้คุณภาพจะส่งผลเสียต่อประเทศชาติมากกว่าระดับอื่นๆ เพราะเขาเหล่านั้นจะเป็นผู้สอน นักวิจัย หรือผู้ชี้นำความคิดของสังคม และแน่นอนว่าถ้าไม่ได้คุณภาพ เด็กนักเรียนนักศึกษาที่เขาสอน งานวิจัยที่เขาทำ หรือการพูดของเขาในที่ต่างๆ จะมีคุณภาพและถูกต้องเพียงใด

นอกจากนี้ การผลิตดุษฎีบัณฑิตของไทยยังมีปัญหาในเชิงของปริมาณ โดยงานศึกษาวิจัยชิ้นหนึ่งของผม พบว่า แรงงานที่จบปริญญาเอกถึงร้อยละ 60 ทำงานต่ำกว่าวุฒิที่จบมา มีเพียงร้อยละ 20 เท่านั้นที่ทำงานตามสายงานที่เรียนมา พูดง่ายๆ คือ “คนที่จบดอกเตอร์เหล่านั้นไม่ได้ทำงานเป็นอาจารย์ในรั้วมหาวิทยาลัย ไม่ได้เป็นนักวิเคราะห์หรือนักวิจัย แต่เรียนต่อเพียงเพื่อต้องการวุฒิหรืออยากมีคำว่าดอกเตอร์นำหน้าในนามบัตรเท่านั้น” ซึ่งน่าจะพอคาดได้ว่า การมีดอกเตอร์มากๆ (และไม่ได้คุณภาพ) ไม่ช่วยสร้างนวัตกรรมหรืองานวิจัยในการพัฒนาประเทศ

โดยส่วนตัวผมคิดว่า ไทยกำลังมาผิดทางในการผลิตบุคลากรด้านปริญญาเอกในหลายประเด็น

1.ประเทศไทยไม่ได้ต้องการคนจบปริญญาเอกมากขนาดนั้น ในต่างประเทศคนจะเรียนปริญญาเอกก็ต่อเมื่อเขาต้องการประกอบอาชีพเป็นอาจารย์หรือนักวิจัย ต้องเข้าใจว่าไทยไม่ได้ต้องการคนจบปริญญาเอกจำนวนมากๆ แต่ต้องการคนจบในสาขาที่ขาดแคลน หรือสาขาที่จะเป็นอนาคตของประเทศ เช่น สาขาวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ และอุตสาหกรรมอนาคตใหม่ๆ ต้องการบุคลากรชั้นสูงประเภท Innovative Scientist หรือ Innovative Engineer ในการสร้างนวัตกรรม แต่เรากลับมีดอกเตอร์มากเกินไป ในสาขาทางสังคมศาสตร์ โดยเฉพาะสาขาบริหารการศึกษาและรัฐประศาสนศาสตร์

2.หลักสูตรปริญญาเอกไม่ใช่ที่ไหนก็เปิดสอนได้ จึงควรกำหนดให้สถาบันการศึกษาที่พร้อมเท่านั้น ถึงจะดำเนินการได้ ซึ่งผมมองเห็นแค่มหาวิทยาลัยวิจัยไม่ถึง 10 แห่ง และมหาวิทยาลัยเอกชนบางที่เท่านั้น

3.หลักสูตรปริญญาเอกควรกำหนดไม่ให้เป็นหลักสูตรหาเงินหรือต้องเลี้ยงตัวเอง เพราะจะทำให้คณะที่สอนต้องไปเน้นการรับนักศึกษาจำนวนมาก แต่ควรเน้นที่คุณภาพ ทางแก้คือ ภาครัฐควรจัดสรรงบให้มหาวิทยาลัยที่พร้อมเหล่านั้น จะได้ไม่จำเป็นต้องใช้หลักสูตรปริญญาเอกหาเงินหรือต้องเลี้ยงตัวเอง ในต่างประเทศหลักสูตรปริญญาเอกเกือบทุกที่ล้วนขาดทุนแทบทั้งนั้น แต่คณะสามารถคัดเลือกเด็กที่มีคุณภาพสูงมาเรียนได้ และแน่นอนว่าสามารถควบคุมและรักษาคุณภาพได้ 

4.การควบคุมคุณภาพที่ผ่านมา เรามองว่าเด็กจะต้องตีพิมพ์หรือนำเสนอในงานประชุมวิชาการให้ได้ก่อนถึงจะจบปริญญาเอก ซึ่งเป็นการเน้นด้าน Output แต่เน้นกระบวนการ (หรือ Process) น้อยมาก เช่น กระบวนการเรียนการสอนที่เข้มข้น กระบวนการคัดเลือกและการสอบ Qualified Exam และการตีพิมพ์นั้นปัจจุบันง่ายมาก หลายที่ถึงขั้นทำข้อตกลง (Deal) กับวารสารหรือหน่วยงานในการขนเด็กไปนำเสนอผลงานแบบเป็นกระบิ แน่นอนว่าคุณภาพไม่ได้เลย

5.อย่างไรก็ดี ด้านปัจจัยนำเข้า (Input) ก็สำคัญ คือการควบคุม “คุณภาพของอาจารย์ผู้สอนในหลักสูตรปริญญาเอก” แม้ว่าอาจารย์ในไทยหลายคนจะจบปริญญาเอกมาก็จริง แต่ส่วนใหญ่ทำวิจัยน้อยมาก หรือทำเพียงงานวิจัยรับจ้าง (Commission Research) จากหน่วยงานต่างๆ แม้จะได้ประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศบ้าง แต่ “ไม่มีคุณภาพทางวิชาการที่สูงเท่าใด” เมื่อเทียบกับงานวิจัยที่เน้นตีพิมพ์ในวารสารวิชาการในระดับนานาชาติ (International Publication) ไม่ได้สร้างองค์ความรู้เชิง Academic ให้แก่อาจารย์คนนั้น และแน่นอนว่าพออาจารย์ไม่ได้คุณภาพ เด็กก็ไม่ได้คุณภาพ (โดยเฉพาะเด็กปริญญาเอกที่จะจบมาเป็นอาจารย์) ตามมา และกลายมาเป็นอาจารย์ที่ไม่ได้คุณภาพต่อเนื่องเป็นลูกโซ่

ผมคิดว่าจำเป็นต้องปิดหลักสูตรปริญญาเอก ป. เอก ที่ไม่ได้คุณภาพ และจำกัดให้สอนในที่ที่พร้อมจริงๆ ควรมีการวางแผนกำลังคนในระดับปริญญาเอกโดยดูจากจำนวน 1) นักศึกษาปริญญาตรีในแต่ละที่ และ 2) ให้ความสำคัญกับอุตสาหกรรมที่สำคัญและจะเป็นอนาคตของประเทศ ถ้าทำเช่นนี้คุณภาพและปริมาณของดอกเตอร์ในไทยจะสอดคล้องกับตลาดแรงงานมากขึ้นครับ

โดยส่วนตัวผมเอง ตั้งแต่เป็นอาจารย์มา 10 กว่าปี เคยรับนักศึกษาในหลักสูตรปริญญาเอกเป็นที่ปรึกษาเพียงคนเดียวเท่านั้น เหตุผลคือ “ผมคิดว่าผมไม่เก่งพอที่จะเป็นอาจารย์ควบคุมวิทยานิพนธ์ปริญญาเอก เมื่อเทียบกับคุณภาพที่ควรจะเป็นในระดับสากล”

Thailand Web Stat