โอกาสที่เสียไป : ข้อเท็จจริงการศึกษาไทย
โดย...ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ
โดย...ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ
เราพูดเรื่องการปฏิรูปการศึกษามานาน มีการหยิบยกปัญหาเรื่องการศึกษาขึ้นมามากมาย แต่หลายเรื่องเป็นนามธรรมมาก และบางครั้งก็ฟังเป็นเรื่องไกลตัว เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนและเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้นว่าปัญหาการศึกษาทำให้โอกาสของเด็กไทยเสียไปอย่างไรบ้าง จึงขอเล่าปัญหาผ่านช่วงชีวิตต่างๆ ของตัวละครสมมติซึ่งเป็นเด็กคนหนึ่ง ว่าได้รับผลกระทบอย่างไรบ้าง รวมถึงผลกระทบที่จะตกกับพ่อแม่ นายจ้าง ภาครัฐ และสุดท้ายทั้งหมดนี้ส่งผลต่อเศรษฐกิจอย่างไร
สมมติคุณเกิดมาเป็นเด็กหัวดี ขยันตั้งใจเรียน ที่เกิดในครอบครัวที่มีรายได้เท่ากับรายได้มัธยฐานในเมืองไทยคือ ราว 1 หมื่นบาท/เดือน มีความเป็นไปได้มากว่าคุณจะอยู่ในบ้านในชนบทแห่งหนึ่ง เพราะกว่าครึ่งหนึ่งของคนไทยยังอยู่ในเขตชนบท พ่อหรือแม่ หรือทั้งพ่อและแม่ของคุณก็อาจจะทำงานอยู่ในกรุงเทพฯ และคุณเองนั้นก็คงอาศัยอยู่กับปู่ย่า หรือตายาย เพราะในปัจจุบันก็มีราว 40% ของเด็กไทยที่ไม่ได้อาศัยอยู่กับทั้งพ่อและแม่
พอคุณอายุได้สัก 3 ขวบ ก็จะได้เข้าเรียนที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กใกล้ๆ บ้าน ถึงแม้ว่าจะมีงานวิจัยออกมาบอกว่าการลงทุนในการศึกษาของเด็กก่อนวัยเรียนจะมีผลตอบแทนสูงกว่าในวัยอื่นๆ มาก แต่ทรัพยากรที่ใส่เข้าไปยังไม่มาก ถ้าเทียบงบประมาณต่อหัวเด็กก่อนประถมได้งบคิดเป็นแค่ 3 ใน 4 ของเด็กประถม คุณก็เลยจะมีโอกาสที่จะมีพัฒนาการล่าช้ากว่าวัย ซึ่งโอกาสจะมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับว่าบ้านคุณอยู่ที่ไหน
ในห้องเรียนชั้นประถม สิ่งที่จะเจอคือเพื่อนร่วมชั้นบางคนก็จะยังอ่านหนังสือไม่ออก เขียนหนังสือไม่ได้ไปจนจบชั้น ป.6 ปัญหายังส่งต่อไปถึงระดับมัธยม ถึงแม้ว่าจะเรียนอยู่ชั้น ม.ต้น แต่ก็พบว่ามีเพื่อนร่วมชั้นจำนวนไม่น้อยที่แม้จะอ่านหนังสือออก แต่ก็ไม่สามารถจับใจความได้
ข่าวดีก็คือคุณมีโอกาสไม่น้อยที่จะได้เรียนตลอดรอดฝั่งจนจบ ม.ปลาย (หรือ ปวช.) เพราะเด็กไทยส่วนใหญ่เข้าถึงการศึกษาในสัดส่วนที่สูงเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ อาจจะเป็นเพราะนโยบายเรียนฟรีของรัฐก็เป็นได้ เพราะถึงจะไม่ฟรีเสียทีเดียว พ่อแม่ยังต้องควักกระเป๋าจ่ายเพิ่มอีก บางรายอาจจะต้องกู้มาบ้างจากเด็ก 10 คนที่เรียน ป.1 พร้อมกับคุณ ก็จะมี 6 คนที่ยังเรียนอยู่จนจบ ม.6
เพื่อนของคุณในกลุ่มที่ร่วงหล่นไประหว่างทาง ส่วนใหญ่มาจากครอบครัวฐานะยากจนและอยู่ในพื้นที่ห่างไกล และก็มีกลุ่มเสี่ยงอื่นๆ ที่ไม่ใช่เรื่องปัจจัยทางเศรษฐกิจ เช่น เป็นแม่วัยใส หรือถูกดำเนินคดีโดยสถานพินิจฯ เนื่องจากคุณเป็นเด็กหัวดี ยังไงก็คงต้องอยากเข้ามหาวิทยาลัย ซึ่งก็ต้องผ่านการสอบที่เรียกว่า “แอดมิชชั่น” แต่สิ่งที่โรงเรียนมัธยมสอนอาจจะไม่ทำให้คุณเข้ามหาวิทยาลัยได้
ดังนั้น เพื่อเพิ่มโอกาสที่จะสอบแอดมิชชั่นติด คุณอาจต้องย้ายมาเรียนในกรุงเทพฯ เพราะบรรดาโรงเรียนที่ส่งเด็กเข้ามหาวิทยาลัยได้ (Feeder School) ก็อยู่ในกรุงเทพฯ ทั้งนั้น แต่จะได้เข้าเรียนในโรงเรียนระดับท็อปเหล่านั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเด็กต่างจังหวัดเหมือนกัน นอกจากต้องย้ายมาเรียนในกรุงเทพฯ แล้ว สมัยนี้ก็ต้องเรียนกวดวิชาเพื่อติวเข้ามหาวิทยาลัย คุณก็ด้วย แต่การเรียนพิเศษนอกจากจะใช้เวลา แล้วยังต้องเสียเงินเสียทองไม่น้อย
ถ้าคุณมาจากบ้านที่มีรายได้มัธยฐานจริงๆ ฝันที่จะได้เรียนต่อมหาวิทยาลัยเป็นไปได้ยากหน่อย เพราะครอบครัวไทยส่วนใหญ่ไม่ได้มีเงินเก็บมากพอที่จะส่งลูกเรียนมหาวิทยาลัย ถึงแม้จะสามารถกู้เงินจากกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา หรือ กยศ.ได้ก็ตาม ส่วนที่เงินเหลือก็หนีไม่พ้นต้องกู้จากญาติ หรือไม่ก็กู้นอกระบบ
แต่สมมติว่าเราทำบุญมาดี โชคดีมีป้าที่ร่ำรวยส่งเราเรียนต่อมหาวิทยาลัยได้ และโชคดีต่อที่สองคือคะแนนแอดมิชชั่นสูง พอที่จะได้เรียนในมหาวิทยาลัยรัฐอันดับต้นๆ ซึ่งเข้ายากกว่าและค่าเทอมถูกกว่ามหาวิทยาลัยเอกชนเกินครึ่ง
ค่าเทอมมหาวิทยาลัยรัฐอันดับต้นๆ ตก 1.3 แสนบาทตลอดหลักสูตร ในขณะที่มหาวิทยาลัยเอกชนอยู่ที่ 3.1 แสนบาท จริงๆ การสอบแอดมิชชั่นอาจจะไม่ยากอย่างที่คิด (ถ้าไม่เลือกมาก) เพราะมหาวิทยาลัยเพิ่มขึ้นมากจากเมื่อ 10 ปีก่อน จาก 123 แห่ง เป็น 177 แห่ง หลักสูตรก็มีหลากหลาย จำนวนที่นั่งก็มีมากจนล้น ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจว่าจะส่งผลต่อคุณภาพของเด็กจบมหาวิทยาลัย
4 ปีผ่านไป คุณเรียนจบมหาวิทยาลัยแล้ว คุณเป็นคน 1 ใน 3 ของเพื่อนที่ร่วมชั้นกับคุณมาตอน ป.1 ที่ได้เรียนจบปริญญาตรี ข่าวร้ายก็คือคุณเป็นหนึ่งในบัณฑิตร่วมรุ่นอีกราว 2.6 แสนคน ที่กำลังจะเข้าสู่ตลาดแรงงานพร้อมๆ กับคุณ ซึ่ง 1 ใน 4 มาจากคณะยอดนิยมอย่างบริหารธุรกิจ เด็กจบคณะสายสังคมคิดเป็น 2:1 ของเด็กที่จบสายวิทยาศาสตร์
เรื่องหางานไม่เป็นปัญหา คุณจะว่างงานไม่นาน มีคนส่วนน้อยมากที่หางานทำไม่ได้ภายใน 6 เดือน แต่ปัญหาคือมีโอกาสไม่น้อยที่จะได้งานที่ไม่ได้ตรงกับสาขาที่เรียนมา หรือเป็นงานที่ใช้ความสามารถต่ำกว่าวุฒิที่มี ส่วนเงินเดือนจะได้เท่าไหร่ขึ้นอยู่กับว่าคุณทำงานที่ไหน และขึ้นอยู่กับว่าจบจากที่ไหน (ทั้งคณะและมหาวิทยาลัย) เงินเดือนของเด็กจบใหม่หน้าตาเป็นอย่างไร
ถ้าเป็นเด็กจบใหม่จากมหาวิทยาลัยที่เข้าไม่ยากเท่าไหร่ และได้งานที่ต่างจังหวัด คุณก็มีโอกาสที่จะได้เงินเดือนประมาณ 1.2 หมื่นบาท แต่ถ้าได้งานที่กรุงเทพฯ และจบจากมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง ก็อาจจะได้เงินเดือนมากเป็น 2 เท่า
การที่การศึกษาไม่ได้ช่วยสร้างโอกาสที่ดีขึ้นอย่างที่หวัง ไม่ได้ส่งผลกระทบแต่กับตัวเด็กเอง แต่ยังกระทบต่อคนรอบข้าง และทำให้เสียโอกาสไป ไม่ว่าพ่อแม่ นายจ้าง หรือภาครัฐเอง พ่อแม่จำนวนไม่น้อยที่ฝากความหวังไว้กับลูก อยากจะเห็นลูกมีโอกาสดีๆ ในชีวิต จึงไม่ลังเลที่จะทุ่มเทเงินทองซื้อหาการศึกษาที่มีคุณภาพให้ลูก
กว่า 1/4 ของพ่อแม่เคยกู้ยืมเงินมาเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการศึกษาของลูก และสัดส่วนนี้เกินครึ่งสำหรับพ่อแม่ที่มีฐานะยากจน พ่อแม่ที่พอมีฐานะยอมควักกระเป๋าเฉลี่ยรายละกว่า 1 แสนบาท เป็นค่าแป๊ะเจี๊ยะในการเข้าโรงเรียนที่มีชื่อเสียง นอกจากเรียนในโรงเรียนแล้วก็ยังต้องมีค่าเรียนพิเศษ มูลค่าของธุรกิจโรงเรียนกวดวิชาที่สูงถึง 2 หมื่นล้านบาท
สะท้อนถึงกำลังจ่ายของพ่อแม่ที่ยอมควักกระเป๋าเพื่อให้ลูกได้การศึกษาดีๆ ภาคเอกชนก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน ผลสำรวจพบว่าปัญหาขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะเป็นเรื่องที่เอกชนเป็นกังวลมากเป็นอันดับสองรองจากความไม่สงบทางการเมือง ความรุนแรงของการขาดแคลนแรงงานทำให้ปัจจุบันบริษัทต้องใช้เวลาในการรับสมัครงานนานขึ้น โดยเฉพาะตำแหน่งที่เป็นงานวิชาชีพ (Professional) ต้องใช้เวลาถึง 10 สัปดาห์ จากที่เคยใช้เวลาเพียง 7 สัปดาห์
ไม่น่าแปลกใจที่ธุรกิจจัดหางานกลายเป็นธุรกิจที่เติบโตเร็วมาก มีรายได้เพิ่มขึ้นราว 2.6 เท่าในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ภาครัฐก็ทุ่มเทงบประมาณมากมายให้กับการศึกษามาก กระทรวงศึกษาธิการได้รับจัดสรรงบมากเป็นอันดับหนึ่ง ได้รับราว 5.2 แสนล้านบาท ในปี 2559 และคิดเป็น 2.6 เท่า จากเมื่อ 10 ปีก่อน แต่น่าเสียดายที่ทรัพยากรที่เทลงไปไม่กลายมาเป็นผลลัพธ์ดังที่คาด
เราพูดเรื่องการปฏิรูปการศึกษากันมานาน ที่เริ่มต้นตั้งแต่ปี 1999 เป็นต้นมา เมื่อประมาณ 17 ปีที่แล้ว เรื่องที่ได้ประกาศไว้ตามกฎหมายมีเรื่องที่ทำสำเร็จและไม่สำเร็จ แต่หลายเรื่องอย่างการเพิ่มคุณภาพการศึกษาให้กับเด็กกลับไม่ดีขึ้นอย่างที่คนคาดหวัง สุดท้ายกลายมาเป็นค่าเสียโอกาส ซึ่งส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจเพื่อให้เห็นการเสียโอกาสนี้ให้เป็นรูปธรรมมากขึ้น เราจึงจะฉายภาพให้เห็นว่า ถ้าเมื่อ 17 ปีที่แล้วเราทำสำเร็จ ผลของมันจะเป็นอย่างไรต่อเศรษฐกิจ
ในวันนี้ลองมาจินตนาการกันดูว่า ถ้าเราปฏิรูปสำเร็จเหมือนอย่างโปแลนด์ ที่ปฏิรูปการศึกษาในช่วงเดียวกันและประสบความสำเร็จ เป็นผลให้คะแนน PISA เพิ่มขึ้น 48 คะแนนจากปี 2000 (ในขณะที่ไทยคะแนนเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 3 คะแนนจากปี 2000) โดยเราจะนำผลการศึกษาของ Hanushek และ Woessman (2010) มาใช้ ซึ่งทำการศึกษาความสัมพันธ์ความรู้และทักษะแรงงานที่เพิ่มขึ้นกับการเติบโตของจีดีพีใน 50 ประเทศ โดยใช้คะแนน PISA ของประเทศนั้นๆ มาเป็นตัวแทนความรู้และทักษะแรงงาน เมื่อควบคุมตัวแปรอื่นๆ แล้วพบว่าถ้าสามารถเพิ่มความรู้และทักษะได้จนคะแนน PISA เพิ่มขึ้นมา 100 คะแนน จะทำให้อัตราการเจริญเติบโตของจีดีพีต่อหัวเพิ่มขึ้นถึงเกือบ 2%
จากนั้นจึงนำมาคำนวณในกรณีของไทย สมมติให้การปฏิรูปเริ่มมีผลในปี 2000 และคะแนน PISA ค่อยๆ เพิ่มขึ้นทีละปีจนครบเมื่อปีที่ 10 หลังจากปีที่ 10 เป็นต้นไป จะมีแรงงานรุ่นใหม่ที่มีความรู้และทักษะเต็มที่ทยอยเข้าสู่ตลาดแรงงาน และเพิ่มผลิตภาพให้ระบบเศรษฐกิจ และจะทำให้หน้าตาของเศรษฐกิจไทยเปลี่ยนแปลงไป
ถ้าเรายังไม่เริ่มต้นทำอะไรในวันนี้ ยิ่งนับวันต้นทุนค่าเสียโอกาสก็ยิ่งจะเพิ่มสูงขึ้นมาก จีดีพีที่จะสูญเสียจะเพิ่มขึ้นเป็นหลายเท่าตัว ดังนั้นการปรับปรุงคุณภาพการศึกษาเป็นสิ่งที่รอไม่ได้และต้องทำตอนนี้ เพราะกว่าที่จะเห็นผลต้องใช้ระยะเวลา
เราต้องรีบและเร่งทำการปฏิรูปการศึกษาให้เร็ว เพราะกว่าจะเห็นผลนาน และวิธีนี้จะเป็นวิธีกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะยาว ต่อเนื่อง และยั่งยืนที่สุด