ภูพิงคราชนิเวศน์ ตำหนักพ่อของชาวไทย

04 ธันวาคม 2559

ช่วงปลายฝนต้นหนาว ปลายเดือน พ.ย. อากาศในภาคเหนือกำลังเย็นสบาย ถูกใจเพื่อนร่วมคณะของสื่อมวลชน

โดย...สมาน สุดโต

ช่วงปลายฝนต้นหนาว ปลายเดือน พ.ย. อากาศในภาคเหนือกำลังเย็นสบาย ถูกใจเพื่อนร่วมคณะของสื่อมวลชน และเจ้าหน้าที่กลุ่มเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ สำนักบริหารกลาง กรมศิลปากร ที่เสร็จภารกิจในการเปิดศูนย์บริการข้อมูลนักท่องเที่ยวเวียงกุมกาม เชียงใหม่ ได้ไปรับอากาศเย็นๆ ที่พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ บ้านของพ่อ ที่ตั้งอยู่บนดอยบวกห้า ต.สุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ซึ่งมีอุณหภูมิ 20 องศาเซลเซียส แม้ว่าบรรยากาศทั่วไปจะเงียบเหงา เพราะพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 13 ต.ค. 2559 ก็ตามเมื่อคณะของพวกเราขึ้นไปตามถนนสุเทพ ดอยปุย ก็พบรถนักท่องเที่ยวสวนทางลงมาเป็นระยะๆ พวกเขากำลังกลับ แต่พวกเรากำลังขึ้นไป

ข้อมูลนักท่องเที่ยววันศุกร์ที่ 25 พ.ย. 2559 ณ เวลา 16.00 น. วันที่คณะเราขึ้นไปนั้นมีจำนวน 1,414 คน เป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติ 621 คน ชาวไทย 753 คน เด็ก 40 คน ซึ่งต่างชาติ 621 คนนั้นเป็นชาวจีนทั้งสิ้น ส่วนชาติอื่นๆ นั้น แยกออกเป็น อเมริกัน 13 คน ฝรั่งเศส 11 คน อังกฤษ 8 คน ออสเตรเลีย 3 คน สเปน 7 คน เยอรมัน 8 คน เกาหลี 8 คน มาเลเซีย 3 คน แคนาดา 3 คน ญี่ปุ่น 6 คน สวิตเซอร์แลนด์ 13 คน เบลเยียม 2 คน สิงคโปร์ 2 คน โปแลนด์ 5 คน บราซิล 5 คน และสวีเดน 5 คน

ภูพิงคราชนิเวศน์ ตำหนักพ่อของชาวไทย บันไดที่เสด็จพระราชดำเนิน ณ ภูพิงคราชนิเวศน์

 

กุหลาบงามจับใจ

เจ้าหน้าที่แนะนำว่าให้เดินเข้าสวนกุหลาบและกล้วยไม้ก่อน เมื่อพวกเราเข้าไปก็ต้องตื่นตากับกุหลาบดอกใหญ่มากที่บานต้อนรับนักท่องเที่ยวและแมลง เช่น ผึ้ง ทำเอาพวกเราและนักท่องเที่ยวอื่นๆ ต้องหยุดชื่นชมเป็นระยะเพื่อเก็บภาพประทับใจ ถัดจากสวนกุหลาบก็เข้าสู่เรือนกล้วยไม้ ที่ทำให้หลายคนถึงกับเพ้อว่าพลัดหลงเข้าสู่สวนสวรรค์ เพราะทุกพื้นที่เว้นทางเดินเต็มไปด้วยดอกกล้วยไม้กลีบดอกใหญ่ สีสวย บานสะพรั่ง ซึ่งแน่นอนไม่สามารถหยุดการถ่ายเซลฟี่ไว้เป็นระลึกได้ เมื่อหลุดจากเรือนกล้วยไม้และสวนกุหลาบที่เรียกชื่ออย่างเป็นทางการว่าอาคารจัดแสดงพรรณไม้ จึงเดินลัดเลาะผ่านประตูเสด็จพระราช ดำเนิน ถึงเรือนรับรอง

พระตำหนัก

ถัดจากเรือนรับรองได้เข้าสู่ที่ตั้งพระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ อันเป็นเป้าหมายในการมาเยือนครั้งนี้ พวกเราพยายามที่จะดูพระตำหนักให้มากและให้เต็มอิ่มที่สุด เพราะที่นี่หลายคนพูดว่าบ้านของพ่อด้วยความภาคภูมิใจ และเพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้

ภูพิงคราชนิเวศน์ ตำหนักพ่อของชาวไทย มุมด้านหน้าภูพิงคราชนิเวศน์ ตำหนักพ่อของชาวไทย

 

ข้อมูลแนะนำว่า ภูพิงคราชนิเวศน์ เป็นพระตำหนักที่ประทับในวโรกาสที่เสด็จพระราชดำเนินแปรพระราชฐานมาประทับแรมที่ จ.เชียงใหม่ เพื่อทรงเยี่ยมเยียนราษฎรในเขตภาคเหนือ และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ใช้เป็นที่รับรองพระราชอาคันตุกะที่เสด็จฯ เยือนประเทศไทย ซึ่งแต่เดิมจะประทับรับรองแต่ในพระนครหลวงเท่านั้น โดยพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2504 ในครั้งแรกได้ก่อสร้างเฉพาะองค์พระตำหนักที่ประทับ และเรือนรับรองเท่านั้น ส่วนอาคารอื่นๆ ได้มีการก่อสร้างเพิ่มเติมต่อมาในภายหลัง พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ มีลักษณะแผนผังเป็นแบบเรือนไทยภาคกลาง ที่เรียกว่า “เรือนหมู่” มีรูปแบบสถาปัตยกรรมเป็นไทยประเพณีประยุกต์ยกพื้นสูง ชั้นบนเป็นที่ประทับ ชั้นล่างเป็นที่พักของข้าราชบริพาร ออกแบบแปลนโดย ม.จ.สมัยเฉลิม กฤดากร ออกแบบรูปด้านโดย ม.ร.ว.มิตรารุณ เกษมศรี และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ดำเนินการก่อสร้าง โดย ม.จ.สมัยเฉลิม กฤดากร เป็นผู้อำนวยการก่อสร้าง ม.ร.ว.มิตรารุณ เกษมศรี และประดิษฐ์ ยุวพุกกะ เป็นผู้ช่วย ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ พล.อ.หลวงกัมปนาทแสนยากร องคมนตรี เป็นผู้แทนพระองค์ในการวางศิลาฤกษ์ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 24 ส.ค. 2504 เวลา 10 นาฬิกา 49 นาที การก่อสร้างพระตำหนักใช้เวลา 5 เดือนจึงแล้วเสร็จ และได้ใช้รับรองพระราชอาคันตุกะเป็นครั้งแรกคือ สมเด็จพระเจ้าเฟรเดอริกที่ 9 และสมเด็จพระราชินีอินกริต แห่งเดนมาร์ก เมื่อเดือน ม.ค. 2505

ผมขออนุญาตทหารที่รักษาการ ที่หน้าตำหนักถ่ายภาพทุกมุมเท่าที่จะทำได้ รวมทั้งบันไดหินอ่อน 21 ขั้นที่เสด็จขึ้นลง เมื่อแปรพระราชฐานมาประทับเพื่อรับรองพระราชอาคันตุกะ และเยี่ยมเยียนราษฎรในภาคเหนือ

ภูพิงคราชนิเวศน์ ตำหนักพ่อของชาวไทย กุหลาบงามที่ภูพิงคราชนิเวศน์

 

โครงการหลวง

การเสด็จเยี่ยมเยียนราษฎรและชนเผ่าต่างๆ ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดีทั้งสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม เมื่อทรงพระราชดำริให้จัดตั้งโครงการหลวงขึ้น เป็นโครงการส่วนพระองค์
เพื่อส่งเสริมชาวเขาในการปลูกพืชเมืองหนาวทดแทนการปลูกฝิ่น ซึ่งโครงการหลวงเริ่มก่อตั้งเมื่อ พ.ศ. 2512 โดย ม.จ.ภีศเดช รัชนี เป็นผู้รับผิดชอบในฐานะประธานมูลนิธิ ปัจจุบันโครงการหลวงดำเนินงานใน 5 จังหวัดภาคเหนือ คือ จ.เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน พะเยา และแม่ฮ่องสอน มีสถานีวิจัยหลัก 4 สถานี และสถานีส่งเสริมปลูกพืชทดแทนฝิ่น เรียกว่า ศูนย์พัฒนาโครงการ
จำนวน 21 ศูนย์ และหมู่บ้านพัฒนาอีก 6 หมู่บ้าน รวมหมู่บ้านในเขตปฏิบัติการทั้งสิ้น 267 หมู่บ้าน ถ้าได้ศึกษาเรื่องปิดทองหลังพระ เข้าใจ เข้าถึง แล้วจึงพัฒนาสืบสานแนวพระราชดำริ ด้วยล้วนแต่สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นอย่างหาที่สุดมิได้ เพราะชีวิตคนไทยบ้านนอกอยู่ได้อย่างพอเพียงและไม่ลำบากก็เพราะพระราชดำริที่ก่อให้เกิดโครงการที่กระจายอยู่ทั่วไทย มิใช่ที่เมืองเหนือเท่านั้น แม้ว่าพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช จะพระราชทานปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง แก่ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เพื่อเผยแพร่แก่ประชาชนไทย เมื่อวันที่ 29 พ.ย. 2542 หรือ 17 ปีที่ผ่านมาก็ตาม

อิ่มใจเมื่อชมพระตำหนัก

พวกเรามีเวลาชมแค่พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์เท่านั้น ส่วนสำคัญอื่นๆ ไม่ได้ไปเพราะเวลาหมด เช่น เรือนรับรอง ที่มีป้ายเชิญชวนไปเขียนคำแสดงความอาลัย พลับพลาผาหมอนและสวนเฟิร์น อ่างเก็บน้ำ/น้ำพุ พระตำหนักยูคาลิปตัส 1 และพระตำหนักยูคาลิปตัส 2 ที่เป็นพระตำหนักแบบ Log Cabin ที่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ มีพระราชเสาวนีย์ให้สร้างขึ้น เพื่อพระราชทานแด่สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร สำหรับทรงใช้เป็นที่ประทับ โดยก่อสร้างเมื่อ พ.ศ. 2536

การได้ชมพระตำหนักภูพิงคราช นิเวศน์ ที่ประทับองค์มหาราช บ้านพ่อของประชาชนชาวไทย มีแต่ความปีติ พวกเราขอสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ อันหาที่สุดมิได้ตลอดไป

ภูพิงคราชนิเวศน์ ตำหนักพ่อของชาวไทย คณะสื่อมวลชนที่เยี่ยมชมพร้อมทีมประชาสัมพันธ์ กรมศิลปากร

 

ภูพิงคราชนิเวศน์ ตำหนักพ่อของชาวไทย เส้นทางที่เสด็จพระราชดำเนิน

 

ภูพิงคราชนิเวศน์ ตำหนักพ่อของชาวไทย กล้วยไม้ดอกใหญ่ที่ไม่มีใครเหมือน

 

Thailand Web Stat