posttoday

เปาบุ้นจิ้น-อิทธิฤทธิ์ ของขุนนางไร้อิทธิฤทธิ์

19 กุมภาพันธ์ 2560

เปาบุ้นจิ้นเป็นชื่อสำเนียงฮกเกี้ยนของเปาเหวินเจิ่ง หรือเรียกอีกชื่อว่าเปาเจิ่ง เปาเจิ่งเกิดในตระกูลที่ออกจะยากจน

โดย...นิธิพันธ์ วิประวิทย์

เปาบุ้นจิ้นเป็นชื่อสำเนียงฮกเกี้ยนของเปาเหวินเจิ่ง หรือเรียกอีกชื่อว่าเปาเจิ่ง เปาเจิ่งเกิดในตระกูลที่ออกจะยากจน แต่พ่อของเปาเจิ่งก็สอบรับราชการได้เป็นถึงนายอำเภอ เด็กน้อยเปาเจิ่งจึงอยู่ในบรรยากาศของบ้านข้าราชการ เมื่อยังเล็กเปาเจิ่งมีท่าทีเป็นผู้ใหญ่และคงแก่เรียนกว่าวัยตัว

วิถีชีวิตของเป่าเจิ่งเดินตามเส้นทางที่ควรเป็นของเด็กดี ไม่ซุกซนเกเร และเปาเจิ่งพิเศษกว่าคนอื่นที่ความเป็นเด็กดีของเป่าเจิ่งแฝงไว้ซึ่งความแน่วแน่และยึดมั่นในหลักการที่เคร่งครัด

เมื่อครั้งเปาเจิ่งยังวัยรุ่น เป็นบัณฑิตที่มีความรู้ความสามารถมีชื่อเสียงพอประมาณ เศรษฐีคนหนึ่งมองการณ์ไกล ก่อนที่เปาเจิ่งและเพื่อนอีกคนจะเดินทางเข้าเมืองหลวงเพื่อสอบรับราชการ ได้เชื้อเชิญให้เปาเจิ่งและเพื่อนมาทานอาหารกัน เพื่อนบัณฑิตของเปาเจิ่งตื่นเต้นดีใจ แต่เปาเจิ่งกลับนิ่งเฉย เมื่อเห็นเพื่อนหงุดหงิดสงสัย เปาเจิ่งกลับบอกด้วยสีหน้าเรียบเฉยแต่จริงจังว่า

“วันนี้ไปกินข้าวกับเขา วันหน้าสอบได้เป็นข้าราชการกลับมาทำงานที่บ้านเกิดจะลำบากใจ หากเศรษฐีนั่นทำผิดขึ้นมา ความเกรงใจจะทำให้เรารักษากฎหมายเคร่งครัดได้ยาก”

เพื่อนของเปาเจิ่งจึงเข้าใจ ทั้งสองไม่ได้ไปตามคำเชิญของเศรษฐี และทั้งคู่ก็ได้กลับมารับราชการที่บ้านเกิดจริงๆ

ที่เมืองตวนโจวซึ่งมีชื่อเสียงเรื่องการทำแท่นฝนหมึกคุณภาพดี ฮ่องเต้มักสั่งแท่นฝนหมึกจากเมืองนี้มาใช้ แต่ข้าราชการที่เคยปกครองเมืองนี้มักฉวยโอกาสด้วยการอ้างราชสำนักสั่งพ่วงแท่นฝนหมึกเพิ่ม จาก 10 ชิ้น ก็สั่งให้ส่งเพิ่มเป็น 10 เท่า แล้วเอาไปแจกเป็นของกำนัลสร้างคอนเนกชั่นกับขุนนางผู้ใหญ่ พฤติกรรมการทุจริตประเภทไม่ได้เอาเงินโดยตรงแต่ยักยอกสิ่งของแทนแบบนี้ พบได้ไม่น้อยแม้กระทั่งยุคปัจจุบัน

เมื่อเปาเจิ่งย้ายมาตวนโจวแล้วรู้สถานการณ์เข้า จึงสั่งสืบสวนและปราบปรามการสั่งพ่วงแท่นฝนหมึกอย่างเด็ดขาด ราชสำนักสั่งมาเท่าไหร่ ก็ให้ชาวบ้านทำเพียงเท่านั้น เปาเจิ่งรู้ดีว่า เมื่อชาวบ้านไม่โดนเบียดบังจากข้าราชการขี้ฉ้อ จะได้มีต้นทุน มีเวลายกระดับชีวิตตนเอง ไม่ต้องมาเคียดแค้นคับข้องใจ และเกลียดกลัวราชสำนักโดยใช่เหตุ

ชาวบ้านตวนโจวจึงรักและเคารพเปาเจิ่งมาก ภายหลังเปาเจิ่งหมดหน้าที่ที่ตวนโจว ชาวบ้านทั้งหลายอยากแสดงความรู้สึกขอบคุณเปาเจิ่ง ตั้งใจจะมอบแท่นฝนหมึกให้กับเปาเจิ่งเป็นที่ระลึก แต่เปาเจิ่งกลับปฏิเสธอย่างเคร่งครัด อย่างไรก็ไม่ขอรับ ชาวบ้านคนหนึ่งแอบยัดเยียดแท่นฝนหมึกชิ้นหนึ่งให้ผู้ช่วยเปาเจิ่ง ด้วยความเกรงใจและเห็นเป็นแค่แท่นฝนหมึกอันเดียว ผู้ช่วยเปาเจิ่งจึงรับเอาไว้ เปาเจิ่งรู้เรื่องนี้เข้าระหว่างล่องเรือออกจากตวนโจว เปาเจิ่งไม่ลังเลที่จะนำแท่นฝนหมึกที่ได้มาทิ้งลงแม่น้ำ ถือว่าคืนสู่ตวนโจวเสีย

เมื่อเมืองเฉินโจวเกิดภัยแล้ง ชาวบ้านไม่สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิต และส่งธัญญาหารเป็นภาษีให้กับราชสำนักได้ตามกำหนด แต่ขุนนางท้องถิ่นหัวสี่เหลี่ยม ทำงานเพลย์เซฟ แม้เห็นชาวบ้านประสบภัยแล้ง แต่ก็เห็นชาวบ้านไร้อำนาจต่อรอง แทนที่จะรายงานความเดือดร้อนกับราชสำนัก คิดว่ายังไงก็ไม่สามารถรีดธัญญาหารจากชาวบ้านได้ ก็งัดกฎหมายที่ให้ชาวบ้านเปลี่ยนการส่งธัญญาหารเป็นการส่งเงินหรือสิ่งของอื่นเป็นภาษีแทน

กฎหมายนี้มีช่องว่างให้เบียดเบียนชาวบ้าน อัตราแลกเปลี่ยนสิ่งที่จะนำมาเสียภาษีแทนธัญญาหารมักตั้งขึ้นมาอย่างไม่ยุติธรรม ยิ่งเปลี่ยนเป็นสิ่งอื่นก็ยิ่งใช้อัตราที่ขูดรีดชาวบ้านมากขึ้นไปกว่าเดิม ชาวบ้านทนสภาพนี้ไม่ไหวต่างอพยพย้ายออกจากเฉินโจว ยอมไปเป็นขอทานที่เมืองอื่นกลายเป็นปัญหาบานปลาย

เปาเจิ่งเห็นสภาพนี้แล้วทนไม่ไหว ถวายฎีกาแจ้งราชสำนัก ขอให้ยกเลิกระบบนี้โดยด่วน โดยชี้ให้เห็นว่าระบบนี้ขูดรีดชาวบ้านอย่างไร และให้ใช้มาตรการที่เหมาะสมมาบรรเทาภัยแล้ง ฎีกาฉบับนี้ช่วยบรรเทาทุกข์ให้ชาวเฉินโจวอย่างยิ่ง

นอกจากนั้น เปาเจิ่งยังปฏิรูประบบการร้องทุกข์ของชาวบ้าน ซึ่งเดิมทีต้องเขียนเอกสารร้องทุกข์ยุ่งยาก ซึ่งชาวบ้านที่เขียนหนังสือไม่ได้และไม่คล่องต่างต้องจ้างวานให้คนอื่นเขียนแทน แถมยังต้องยื่นเรื่องผ่านกระบวนการซับซ้อนที่เต็มไปด้วยช่องว่างให้ทุจริตและเฉื่อยชา เปาเจิ่งปรับเปลี่ยนให้ชาวบ้านตีกลองร้องเรียนเจ้าเมืองได้โดยตรง ทำให้คนยากคนจนมีโอกาสได้ร้องทุกข์มากขึ้น

เปาเจิ่งรู้ดีว่าศักยภาพของประชาชนตาดำๆ ที่ถูกกดขี่ด้วยวงจรอุบาทว์ “โง่ จน เจ็บ” ต้องถูกกดทับอีกชั้นด้วยความยุ่งยากของระบบ จึงคิดหาวิธีแก้ไขที่จริงใจและจริงจัง

เปาเจิ่งในบันทึกประวัติศาสตร์จริงยังมีเรื่องราวอีกมาก แต่กลับไม่มีเรื่องใดเลยที่ตื่นเต้นพิสดารถึงขั้นต้องใช้จอมยุทธ์ตะลุยสอบสวน หรือใช้อิทธิฤทธิ์ลุยไปในนรกดั่งเช่นในนิยายเปาบุ้นจิ้นพรรณนาไว้

เพราะโลกแห่งความจริง ขุนนางที่ดีไม่จำเป็นต้องมีอิทธิฤทธิ์วิเศษอย่างในนิยาย ขอให้ห่วงใยประชาชน ไม่เฉื่อยชา นิ่งเฉย และทำหน้าที่ตัวเองให้ดีที่สุดตามวัตถุประสงค์ ประชาชนย่อมได้ประโยชน์ และย่อมเป็นที่ชื่นชมในที่สุด

ภายหลังชาวบ้านมักเรียกเปาเจิ่งว่า เปาชิงเทียน ซึ่งแปลว่าเปาฟ้ากระจ่าง เพื่อเชิดชูความบริสุทธิ์ยุติธรรม ใส่ใจชาวบ้าน แล้วเรื่องของเปาชิงเทียนจึงค่อยถูกเสริมแต่งให้มีอิทธิฤทธิ์ต่างๆ เป็นที่จดจำ รวมไปถึงผิวหน้าดำเข้มและเสี้ยวพระจันทร์ที่หน้าผาก ก็เป็นการเสริมเติมแต่งเพิ่มให้ขุนนางเปาเจิ่งเช่นกัน

ผลงานที่เป็นรูปธรรมสัมผัสได้ มีหลักการ มีประสิทธิภาพ ย่อมทำให้ชาวบ้านยินดีเสริมแต่งเชิดชู โดยท่านเปาตัวจริงไม่จำเป็นต้องออกมาอ้างให้ใครฟังว่าตนเองบริสุทธิ์ยุติธรรม 99.99% แต่อย่างใด

Thailand Web Stat