เขาชะโงกแห่งความหลัง
สัปดาห์หน้า จะเป็นวาระครบรอบ 100 ปี ของการประกาศสงครามต่อเยอรมนีของสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 6 เม.ย. 2460
โดย...กรกิจ ดิษฐาน
สัปดาห์หน้า จะเป็นวาระครบรอบ 100 ปี ของการประกาศสงครามต่อเยอรมนีของสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 6 เม.ย. 2460 เหตุการณ์ครั้งนี้ ถือเป็นการสิ้นสุดนโยบายไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดอันยาวนานของสหรัฐ จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของสมรภูมิในยุโรป
ส่วนสยามประกาศสงครามกับเยอรมนีและออสเตรีย-ฮังการี เมื่อวันที่ 22 ก.ค. 2460 กว่าจะออกเดินทางก็ปาเข้าไป พ.ศ. 2461 และเมื่อไปถึงก็ใกล้ที่จะรบกันเสร็จแล้ว อย่างไรก็ตาม ทหารสยามก็มีส่วนร่วมไม่น้อย และสร้างเกียรติภูมิจนเป็นที่ประจักษ์ในเหตุการณ์ครั้งนั้น
สำหรับผู้ที่ชอบทางพระทางเจ้า สงครามโลกครั้งที่ 1 มีแง่มุมในทางธรรมเหมือนกัน เช่น กรณีที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงถอดพระเทพโมลี (สิริจันโท จันทร์) วัดบรมนิวาสวรวิหาร ออกจากสมณศักดิ์ เหตุเพราะท่านแสดงธรรมเทศนาเรื่อง “ธรรมวิจยานุศาสน์” ขึ้นต้นกระทู้ธรรมว่า
สุวิชาโน ภวํ โหติ ทุวิชาโน ปราภโว ธมฺมกาโม ภวํ โหติ ธมฺมเทสฺสี ปราภโวฯ
แล้วประณามการวิชาที่ยังให้เกิดสงครามเป็น “ทุวิชาโน ปราภโว” คือ ความรู้ชั่ว ย่อมเป็นเข็มทิศชี้ทางให้เกิดความเสื่อมทราม และสงครามเป็นการ “มุ่งแต่จะวางอำนาจจนถึงพร้อมกันประกาศสงครามเข้าสัมประหารชิงชัยซึ่งกันและกัน ลุกลามไปทั่วทั้งโลก ล้มตายกันด้วยศัสตราวุธก็นับไม่ถ้วน ล้มตายเสีย”
จะเห็นได้ว่า คำเทศนานี้กระทบกระเทือนนโยบายส่งทหารไปรบในสมรภูมิยุโรปของรัชกาลที่ 6 จึงทรงถอดสมณศักดิ์ของพระเทพโมลีเสีย หากในกาลต่อมาเมื่อสงครามสงบแล้ว ก็ทรงโปรดเกล้าฯ ให้แต่งตั้งพระเทพโมลีขึ้นใหม่ ทั้งยังยกให้เป็นถึงพระอุบาลีคุณูปมาจารย์
พูดถึงเรื่องสงครามโลก ผู้เขียนไม่ได้มีวาสนาได้ประสบกับเขา เพียงแต่เฉียดๆ สถานที่ที่เคยเป็นแดนทหารในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ในช่วงเวลาที่ไทยแลนด์กับญี่ปุ่น “รักใคร่” ปานจะกลืนกิน... (เลือดกินเนื้อ)
นึกถึงตอนยังเด็ก เคยอาศัยอยู่กับญาติผู้ใหญ่ที่เคารพที่โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า (จปร.) จ.นครนายก ตอนนั้น จปร.เพิ่งย้ายจากกรุงเทพฯ มาเขาชะโงกได้สัก 2-3 ปี สภาพใหม่เอี่ยมราวกับยกนิคมสุดหรูในเมืองกรุงมาไว้ที่กลางหุบเขา ตอนนั้น จปร.มีแต่เด็กๆ เต็มไปหมด ลูกหลานเจ้าหน้าที่/นายทหารย้ายมาจากกรุงเทพฯ พวกเรามีอะไรสนุกๆ ทำกันเยอะมาก ยิ่งแถบเขาชะโงกมีเรื่องลี้ลับค่อนข้างเยอะ เราก็มักไปประลองความกล้าของตัวเองกันบ่อยๆ นัยว่าลูกหลานทหารต้องโชว์ความใจกล้าว่างั้นเถอะ
เรื่องแปลกๆ เรื่องหนึ่งของเขาชะโงกคือ สมบัติญี่ปุ่นกับผีญี่ปุ่น เรื่องผีเป็นอะไรที่สร้างความเพลิดเพลินให้พวกเรามาตลอด ทั้งผีไทยผีเขมรรุ่นเจ้าพ่อขุนด่าน รวมผีญี่ปุ่นรุ่นสงครามโลก เพราะที่ราบระหว่างเขาชะโงกเขาฝาละมี/เขาทุเรียน เคยเป็นที่ตั้งของกองพลที่ 37 ของญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ตอนนี้ก็ยังมีอนุสรณ์สถานกองพลทหารญี่ปุ่น ที่วัดพราหมณี แถมยังมีตำนานรักขนมโมจิของซาโต้ นายทหารหนุ่มญี่ปุ่นกับ น.ส.พันนา แม่ค้าขนมชาวนครนายก เรื่องนี้เป็นตำนานที่น่าอิ่มเอมกว่าคู่กรรมอีกเพราะเป็นตำนานที่กินได้
ตอนญี่ปุ่นแพ้สงคราม มีทหารญี่ปุ่นไม่ยอมแพ้ ปีนเขาชะโงกกับเขารอบๆ กระโดดหน้าผาฆ่าตัวตายกันก็มาก ส่วนที่ตายระหว่างสงครามก็น่าจะไม่น้อย เลยมีเรื่องเล่าผีๆ ใน จปร.ค่อนข้างมาก แต่ผมจำไม่ได้ค่อยได้ว่าอะไรบ้าง รู้สึกจะมีเรื่องผีญี่ปุ่นเดินสวนสนามตอนดึกๆ อะไรทำนองนี้ ซึ่งตอนเช้ามืดประมาณตี 4-5 นักเรียนนายร้อยบ้าง ทหารเกณฑ์บ้างจะรวมพลออกมาวิ่ง เด็กๆ ก็จะคอยแอบมองว่า ที่วิ่งท่ามกลางความมืดน่ะทหารไทยหรือทหารญี่ปุ่นกันแน่ จะว่าไปก็เป็นความตื่นเต้นอย่างหนึ่ง
ลือกันว่าญี่ปุ่นใช้เขาทุเรียนฝังสมบัติมหาศาลที่ยึดมาได้ช่วงรุกรานเอเชีย เขาทุเรียนอยู่ตรงข้ามกับเขาชะโงก มีหน้าผาตั้งเป็นแนวแผ่นกว้างที่ยอด ลือกันว่าตรงนั้นไม่ใช่หิน แต่เป็นปูนที่ญี่ปุ่นโบกปิดปากถ้ำสมบัติไว้ แล้ววางกับระเบิดไว้ ถ้าผมจำไม่ผิดก่อนสร้าง จปร. มีคนพยายามจะระเบิดหน้าผาแต่ไม่สำเร็จ พวกญี่ปุ่นก็พากันมาที่แถวๆ จปร.กันตลอด มาแล้วก็คอยสอดส่องดูอะไรไปเรื่อยเปื่อยจนชาวบ้านว่ากันว่า พวกนี้แอบมาล่าสมบัติตามลายแทง
หลังจากสร้าง จปร. แล้วก็ไม่มีใครมาวุ่นวาย แต่ได้ยินว่าฝ่ายไทยก็พยายามค้นหาแต่ก็ไม่เจอ
นครนายกเป็นเมืองที่ประหลาดมาก ฟ้าผ่ารุนแรงสุด เกิดมาไม่เคยเจอที่ไหนฟ้าลงน่ากลัวเท่าที่นี่อีกแล้ว จนเดี๋ยวนี้กลายเป็นความชาชิน ต่อให้เจอฟ้าผ่าซึ่งๆ หน้าก็เฉยๆ เพราะที่ จปร.แรงสุดๆ แบบไร้เทียมทาน ไม่รู้เพราะทำไม อาจเพราะแร่ธาตุแถวนั้นเยอะดึงกระแสไฟฟ้าลงมาง่าย อีกเรื่องก็คือสัญญาณโทรศัพท์แถวนั้นไม่ค่อยดี ไม่รู้จะเกี่ยวกับแร่ธาตุใต้ดินหรือเปล่า ทำให้ จปร.เป็นมุมอับคล้ายแดนสนธยาคือสัญญาณสื่อสารก็ไม่ดี แถมฟ้ายังแรงอีก
ตอนนี้ จปร.เปลี่ยนไปมากกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยว มีกิจกรรมให้คนนอกเข้ามาเล่นสนุกๆ มากมาย แต่ก่อนนี้เป็นเหมือนสวนสนุกเฉพาะเด็กๆ ลูกหลานข้าราชการที่นั่น