พรชัย ตั้งจริยาภรณ์ ชีวิตไร้ภาระการเงิน
เพราะรอดตายจากอุบัติเหตุบนท้องถนนมาได้หวุดหวิด ทำให้ “บิ๊ก” พรชัย ตั้งจริยาภรณ์ ได้คิดและเปลี่ยนแปลงตัวเอง
เพราะรอดตายจากอุบัติเหตุบนท้องถนนมาได้หวุดหวิด ทำให้ “บิ๊ก” พรชัย ตั้งจริยาภรณ์ ได้คิดและเปลี่ยนแปลงตัวเองจาก “เด็กแว้น” ที่เรียนไม่จบชั้นมัธยมต้น ไม่ทำงาน มาเริ่มต้นชีวิตใหม่
จนวันนี้เขาขึ้นมาเป็นหนึ่งในวิทยากรของ Super Trader Republic หลังจากได้แชมป์ Super Trader Thailand Season 1 และมีอาชีพเป็น “นักลงทุนอิสระ”
“ตอน ม.1 เกเร โดดเรียน ออกไปขับรถกับเพื่อนทุกคืน ขอเงินแม่ใช้ไปไม่ได้คิดอะไร จนมาวันหนึ่งเพื่อนก็ชวนออกไปขับรถ ซึ่งปกติก็จะไปทุกครั้ง แต่วันนั้นไม่อยากออกไป และก็รู้ข่าวว่า เพื่อนโดนรถชนเสียชีวิต รู้สึกวูบไปเลย ตอนจัดงานศพเราก็เห็นว่าพ่อแม่ของเพื่อนเสียใจมาก ก็เลยเริ่มรู้สึกว่าไม่อยากให้พ่อแม่เราเสียใจแบบนั้น ก็เลิกเลยแล้วมาทำงานร้านไอศกรีม เป็นคนขับรถส่งของ เพราะไม่มีวุฒิอะไร มีแต่ใบขับขี่”
และที่นี่เองที่เขาได้เจอกับ “พี่เบียร์”วนนท์ วรรณป้าน ซึ่งเป็นผู้จัดการร้านไอศกรีม ช่วยชี้นำและผลักดันไปในทางที่ถูกที่ควร
“ตอนนั้นเราศรัทธาในตัวพี่เบียร์ เชื่อมั่นในตัวเขา เพราะฉะนั้นอะไรที่เขาบอก เขาสอน เรารู้ว่ามันเป็นเรื่องที่ดี เขาหยิบยื่นสิ่งที่ดีให้เรา พอพี่เขาลาออกและชวนไปทำงานที่โรงงานเฟอร์นิเจอร์ก็ไปทำทันที เพราะมั่นใจว่าพี่เขาไม่พาเราไปตายแน่นอน”
หลังจากทำงานที่บริษัทได้ 1 ปี บริษัทเปิดให้พนักงานซื้อหุ้นของบริษัท ซึ่งบิ๊กบอกว่า “ก็ไม่ได้คิดอะไร พี่เบียร์บอกให้ซื้อก็ซื้อไว้ ก็เลยเอาเงินเก็บมาซื้อ ก็ได้เงินปันผลทุก 3 เดือน เงินเก็บก็เพิ่มขึ้น เพราะไม่ได้อยากซื้ออะไร แต่พี่เบียร์ชวนให้ซื้อคอนโดไว้เก็งกำไรก็ซื้อ”
และการลงทุนในคอนโดมิเนียมครั้งแรกของเขา...กำไร
“ตอนนั้นเป็นครั้งแรกที่รู้ว่าเอาเงินที่เราหาได้ไปต่อยอด มันเป็นอย่างนี้นี่เอง”
จากนั้น “พี่เบียร์” ก็ชักชวนให้เริ่มลงทุนในกองทุนรวม และขยับมาลงทุนหุ้น แต่ในช่วงแรกไม่ได้ดูแลพอร์ตลงทุนเอง แต่ “ฝาก” ให้คนอื่นดูแล ซึ่งผลการลงทุนคือขาดทุน
“ลงทุนไป 4 หมื่นบาท ขาดทุน 1.5 หมื่นบาท คิดเลยว่าไม่เอาแล้ว ไม่ลงทุนหุ้นแล้ว ทำงานปกติดีกว่า แต่พี่เบียร์ไม่ได้เลิกลงทุน พี่เขาไปศึกษาด้วยตัวเอง และ 1-2 ปีหลังจากนั้น พี่เขามาบอกว่าเขาจะลาออกไปเทรดหุ้น ผมไม่รู้เรื่องหุ้นอะไรเลย แต่ก็ออกตามจะไปเทรดกับเขาด้วย”
พรชัย เล่าถึงช่วงแรกของการเป็นนักลงทุนเต็มเวลาว่า “วันแรกกำไร 3.3 หมื่นบาท จากเงินทุนเริ่มต้น 3 แสนบาท เลยเริ่มศึกษาเรื่องการลงทุนอย่างจริงจัง เพราะคิดว่าดีเลยทำงานวันเดียวได้ตั้ง 3 หมื่นกว่า และช่วงแรกก็บวกทุกวัน แต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร จนมาเจอขาดทุนหนักๆ เงินเทรดเหลือน้อย พอร์ตไม่โต ค่าใช้จ่ายรัดตัว จึงคิดกันว่าเราน่าจะมาผิดทาง แต่ไม่ถอย จึงเข้าโครงการ เข้าคอร์สเรียน”
และได้แชมป์ Super Trader Thailand Season 1
“ตอนที่ชนะก็ดีใจ แต่ก็คิดว่าเรายังไม่ใช่คนที่มีเงินจริง แล้วจะทำอย่างไรให้รวย จึงนำเงินรางวัลที่ได้มาเป็นทุนตั้งต้น และเดินในสายเทรดเดอร์มาตลอด โดยยังเป็นบัดดี้กับพี่เบียร์เหมือนเดิม จนถึงวันหนึ่งพี่เบียร์บอกว่า ให้ลองแยกกันเทรด ระหว่างเทรดจะไม่ปรึกษากันเลย แต่พอจบวันก็จะมาคุยกันและสรุปผลกัน”
นับจากวันที่ได้แชมป์จนถึงวันนี้ ผ่านไป 2 ปีแล้ว และ “มูลค่าพอร์ต” ของเขาเพิ่มขึ้นอย่างน่าพอใจ แต่ไม่ได้ทำให้เขาใช้จ่ายฟุ่มเฟือย
“ปกติไม่ใช่คนฟุ่มเฟือย เพราะพอเริ่มหาเงินเองก็จะเห็นคุณค่าของเงิน อยากได้อะไรก็เก็บเงินซื้อ ตอนที่ทำงานโรงงานก็เก็บเงินซื้อแหวนให้แฟนราคา 4 หมื่นบาท เก็บนานมากกว่าจะได้ แต่พอเก็บได้ครบก็ตื่นเต้นว่าเราเก็บเงินซื้อด้วยตัวเอง”
พรชัย บอกอีกว่า “แต่เวลาซื้อของที่จำเป็นจะซื้อของที่ดีไปเลย และของมีอยู่แล้วไม่ซื้อซ้ำ เพราะมันเป็นภาระ ตอนทำงานโรงงานผมทำงานเก็บเงินอย่างเดียว ไม่ได้อยากได้อะไร และไม่อยากมีภาระอะไรเลย เพราะเห็นเพื่อนๆ มีลูกกันตั้งแต่วัยรุ่น ต้องเลี้ยงลูก ต้องจ่ายค่านม ค่าเทอม ไม่มีเงินเก็บกันเลย”
“ตอนที่ออกจากงานมาเทรดช่วงแรกๆ ก็จะประหยัดมาก เดือนละ 1 หมื่นบาทก็อยู่กันได้ โดยเราจะนำเงินออกจากพอร์ตมาเป็นเงินเดือน ทุกวันที่ 1 และ 16 ของเดือน แต่ถ้าเงินเหลือก็จะเอากลับเข้าไปในพอร์ตเหมือนเดิม และทุกวันนี้ก็ยังใช้ชีวิตเหมือนเดิม”
แต่ตอนนี้เขาเริ่มมีภาระทางการเงินของตัวเองแล้ว เพราะซื้อคอนโดมิเนียมไว้พักอาศัย
“ผมพยายามจะโปะคอนโดให้หมดเร็วๆ เวลามีเงินเหลือก็จะไปโปะ เพราะอึดอัดมาก ไม่เคยต้องมีภาระ มันเป็นห่วงต้องรับผิดชอบ และถ้าไม่มีอะไรพลาดอีก 2 ปีก็น่าจะผ่อนหมด”
พรชัย บอกว่า เขาพอใจกับชีวิตทุกวันนี้ ไม่ได้อยากจะรวยกว่านี้
“ไม่ได้อยากได้อะไรแล้ว เต็มที่ก็อาจจะซื้อรถอีกคันหนึ่ง ไม่ได้อยากมีบ้านหลังใหญ่ๆ เพราะอยู่ไปก็ไม่มีความสุข ขี้เกียจทำความสะอาด และไม่อยากจ้างคนอื่นมาทำงานบ้าน ผมชอบอยู่บ้านเล็กๆ เพราะผมอยากจะรับผิดชอบด้วยตัวเอง”
นอกจากเป็นนักลงทุนเต็มเวลาแล้ว เขายังแบ่งเงินส่วนหนึ่งไปร่วมหุ้นทำโรงงานเฟอร์นิเจอร์ในชื่อ “วิณณ์สตูดิโอ เฟอร์นิเจอร์” ซึ่งเป็นธุรกิจที่เขามีความรู้และประสบการณ์จากการทำงาน
“อยากเป็นเจ้าของกิจการ แต่ไม่ได้คิดว่าจะต้องร่ำรวยมากๆ แค่อยากเริ่มทำอะไรเป็นของตัวเอง ให้ประสบความสำเร็จ เพราะการเป็นเทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จคนทั่วไปก็อาจจะมองว่า ไม่ใช่ความสำเร็จที่แท้จริง เพราะฉะนั้นการทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จจะเป็นบทพิสูจน์ความสามารถจริงๆ”
“ตอนนี้ผมมีวุฒิ ม.6 แล้ว และไม่อายที่จะบอกใครๆ ว่าเคยเป็นเด็กแว้น เรียนไม่จบ ซึ่งถ้าตอนนั้นไม่มีเหตุการณ์ที่เป็นจุดเปลี่ยนในชีวิต ตอนนี้ผมก็คงยังเป็นวัยรุ่นติดเพื่อน อยู่ในวังวนเดิมๆ นอนตอนเช้า ตื่นตอนเย็น รอตอนดึกออกไปขับรถ เช้ากลับมานอน แต่ตอนนี้ชีวิตผมกลับกันเลย และความตั้งใจหลังจากนี้คือเรียนต่อปริญญาตรี ผมอยากรับปริญญา”
ถ้าโรงงานเฟอร์นิเจอร์เดินหน้าไปด้วยดี พรชัย บอกว่า เขาจะยกกิจการนี้ให้ทางบ้านดูแล เพื่อให้ครอบครัวมีรายได้ ไม่ต้องกังวลอะไรอีก และเขาจะกลับมาเป็น “นักลงทุนอิสระ” ที่ลงทุนไปเรื่อยๆ อยู่ที่บ้านพักริมทะเลที่ไหนสักแห่ง โดยไม่มีคำว่า “เกษียณ”
“ในบั้นปลายชีวิตจะเป็นอย่างไร ต้องเริ่มคิดตั้งแต่วันนี้”