เลอค่าสถิตในหัวใจไทย เหรียญกษาปณ์แห่งในหลวงรัชกาลที่ 9
เหรียญที่ระลึกในโอกาสการพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร
โดย พริบพันดาว, กองทรัพย์
เหรียญที่ระลึกในโอกาสการพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ประกอบด้วย 1.เหรียญที่ระลึกทองคำ ราคาเหรียญละ 5 หมื่นบาท โดยมีการผลิตเพิ่มขึ้นอีกไม่เกิน 5 หมื่นเหรียญ โดยในครั้งแรกมียอดการผลิตเหรียญ 99,999 เหรียญ 2.เหรียญที่ระลึกเงิน ราคาเหรียญละ 2,000 บาท จำนวนผลิตเพิ่มไม่เกิน 4 แสนเหรียญ โดยในครั้งแรกมียอดการผลิต 399,999 เหรียญ และ 3.เหรียญที่ระลึกทองแดงรมดำพ่นทราย ราคาเหรียญละ 3,000 บาท จำนวนผลิตเพิ่มไม่เกิน 4 หมื่นเหรียญ โดยในครั้งแรกมียอดการผลิต 39,999 เหรียญ รวมถึงและเหรียญที่ระลึกคิวโปรนิกเกิล มีประชาชนชาวไทยได้เข้าจองและหมดไปอย่างรวดเร็วตั้งแต่เดือน ส.ค. 2560
นอกจากนี้ จากการที่กรมธนารักษ์ได้นำเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร จัดเป็นชุดเรียกว่า ชุดเหรียญมงคล ชุดละ 5 เหรียญชุดละ 100 บาท อำนวยความสะดวกให้ประชาชนที่สนใจแลกซื้อเก็บไว้เป็นที่ระลึกได้รับความนิยมมาก
โดยชุดเหรียญมงคล ประกอบด้วย 1) เหรียญกษาปณ์ที่ระลึกเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร เนื่องในโอกาสที่สหภาพวิทยาศาสตร์ทางดินนานาชาติ ทูลเกล้าฯ ถวาย “รางวัลนักวิทยาศาสตร์ดินเพื่อมนุษยธรรม” เพื่อเชิดชูพระอัจฉริยภาพพระปรีชาสามารถด้านการพัฒนาทรัพยากรดินให้เป็นประโยชน์แก่เกษตรกรไทย
2) เหรียญกษาปณ์ที่ระลึก 60 ปี กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน
3) เหรียญกษาปณ์ที่ระลึก และเหรียญที่ระลึกเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา
4) เหรียญกษาปณ์ที่ระลึก 50 ปี ฝนหลวงพระราชทาน
และ 5) เหรียญกษาปณ์ที่ระลึกและเหรียญที่ระลึกเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 12 ส.ค. 2555
สำหรับเหรียญที่นำมาจัดชุดนั้น กรมธนารักษ์พิจารณาจากเหรียญที่มีการจัดสร้างไว้ และปัจจุบันยังคงมีอยู่รวม 24 รุ่น ซึ่งคาดว่าเหลือไม่ถึง 1 ล้านเหรียญ จากก่อนหน้านี้มีอยู่ 3-4 ล้านเหรียญ แต่ยังไม่มีการสรุปยอดเหรียญคงเหลือทั้งหมดได้ว่าเหลืออยู่เท่าใด เนื่องจากประชาชนยังทยอยเข้ามาแลกต่อเนื่อง
สำหรับประชาชนชาวไทยแล้วนั้น เหรียญในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ทุกรุ่นย่อมมีคุณค่า ย่อมเป็นสิ่งมงคล สำหรับเก็บรักษาเพื่อระลึกถึงพระองค์ท่านทั้งสิ้น คุณค่าของเหรียญทุกเหรียญในหัวใจของพสกนิกรที่รักท่านย่อมมีเสมอเหมือนกันทุกประการ
เหรียญกษาปณ์รัชสมัยในหลวง รัชกาลที่ 9
เหรียญกษาปณ์หมุนเวียนของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ตลอดรัชสมัยนั้น ได้ผลิตเหรียญกษาปณ์ออกมาทั้งสิ้น 9 รุ่น รุ่นแรกออกเมื่อ ปี 2493 และรุ่นสุดท้ายคือรุ่นที่ 9 ผลิตใช้ระหว่างปี 2551 ถึง 2559 ซึ่งรุ่นสุดท้ายนี้มีเหรียญกษาปณ์ทั้งสิ้น 9 ชนิดราคา
จากข้อมูลของกรมธนารักษ์ในเดือน ก.ย. 2559 มีเหรียญกษาปณ์ที่หมุนเวียนอยู่ในระบบเศรษฐกิจอยู่ทั้งสิ้นดังนี้ คือ
1.เหรียญ 10 บาท ประมาณ 1,886 ล้านเหรียญ
2.เหรียญ 5 บาท ประมาณ 3,272 ล้านบาท
3.เหรียญ 2 บาท ประมาณ 1,695 ล้านบาท
4.เหรียญ 1 บาท ประมาณ 1.54 หมื่นล้านบาท
5.เหรียญ 50 สตางค์ ประมาณ 2,490 ล้านเหรียญ
6.เหรียญ 25 สตางค์ ประมาณ 3,486 ล้านเหรียญ
ส่วนเหรียญ 10 สตางค์ 5 สตางค์ และ 1 สตางค์ มีอยู่ในระบบอย่างละ 6 ล้านเหรียญ รวมเหรียญกษาปณ์หมุนเวียนทุกชนิดในระบบเศรษฐกิจ มีมูลค่า 56,215 ล้านบาท และเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกอีกราว 6,470 ล้านบาท ที่หมุนเวียนในระบบ
สำหรับเหรียญกษาปณ์หมุนเวียน 9 รุ่น ในรัชสมัยรัชกาลที่ 9 ประกอบด้วย
1.เหรียญรุ่นแรก ผลิตออกใช้ระหว่างปี 2493-2497 ผลิตด้วยโลหะ 3 ชนิด คือ เนื้อนิกเกิล ทองเหลือง (อะลูมิเนียมบรอนซ์) และเนื้อดีบุก ทั้งหมด 5 ชนิดราคา คือ 1 บาท (เหรียญตัวอย่าง) 50 สตางค์ 25 สตางค์ 10 สตางค์ 5 สตางค์ มีจำนวนการผลิตทั้งสิ้นทุกแบบ รวมกันราว 84 ล้านเหรียญ
2.เหรียญกษาปณ์รุ่นที่ 2 ผลิตออกใช้ปี 2500 ผลิตด้วยโลหะ 4 ชนิด คือ เนื้อนิกเกิลผสมเงิน ทองเหลือง (อะลูมิเนียมบรอนซ์) เนื้อทองแดง และดีบุก ทั้งหมด 5 ชนิดราคา คือ 1 บาท 50 สตางค์ 25 สตางค์ 10 สตางค์ 5 สตางค์ มีจำนวนการผลิตทั้งสิ้นทุกแบบรวมกัน ราว 1,140 ล้านเหรียญ
3.เหรียญกษาปณ์รุ่นที่ 3 ผลิตออกใช้ปี 2505 ผลิตเพียงชนิดราคาเดียวคือ 1 บาท เนื้อนิกเกิล มีพบสามแม่ตรา จำนวนการผลิตราว 883 ล้านเหรียญ
4.เหรียญกษาปณ์รุ่นที่ 4 ผลิตออกใช้ระหว่างปี 2515-2517 เหรียญรุ่นนี้ผลิตเพียง 2 ชนิดราคา คือ เหรียญ 5 บาท ซึ่งเป็นครั้งแรกของประเทศที่ผลิตเหรียญชนิดราคา 5 บาท ในปี 2515 เหรียญ 1 บาท ผลิตในปี 2517 ทำด้วยเนื้อนิกเกิล จำนวนการผลิตทั้งสองแบบราว 279 ล้านเหรียญ
5.เหรียญกษาปณ์รุ่นที่ 5 ผลิตออกใช้ระหว่างปี 2520-2522 เหรียญรุ่นนี้ผลิต 4 ชนิดราคา คือ 5 บาท (ครุฑเฉียง) จำนวนการผลิตราว 99.99 ล้านเหรียญ เหรียญ 1 บาท (เรือหงส์) จำนวนการผลิต 506 ล้านเหรียญ 50 สตางค์ (รวงข้าว) จำนวน 122 ล้าน 25 สตางค์ (รวงข้าว) จำนวน 183 ล้าน รวมทั้ง 4 แบบ ผลิตมาราวๆ 900 ล้านเหรียญ
6.เหรียญกษาปณ์รุ่นที่ 6 ผลิตออกใช้ระหว่างปี 2525-2529 เหรียญรุ่นนี้มี 2 พิมพ์ คือ พระเศียรธรรมดา กับพระเศียรเล็ก ผลิต 2 ชนิดราคา คือ เหรียญ 5 บาท (ครุฑตรง) จำนวนการผลิตราว 26 ล้านเหรียญ 1 บาท (วัดพระแก้ว) จำนวนการผลิต 257 ล้านเหรียญ
7.เหรียญกษาปณ์รุ่นที่ 7 ปี 2529-2551 ผลิตด้วยโลหะ 4 ชนิด คือ นิกเกิลสอดไส้ทองแดง นิกเกิล อะลูมิเนียม และอะลูมิเนียมบรอนซ์ (สีทอง) ทั้งหมด 8 ชนิดราคา คือ เหรียญ 10 บาท (2531-2551) 5 บาท เรือหงส์ (2530-2531) และ 5 บาท วัดเบญจฯ (2531-2551) 1 บาท 50 สตางค์ 25 สตางค์ 10 สตางค์ 5 สตางค์ 1 สตางค์
8.เหรียญกษาปณ์รุ่นที่ 8 ผลิตออกใช้ระหว่างปี 2548-2550 มีเหรียญกษาปณ์ชนิดราคา 2 บาท สีเงินอย่างเดียว โดยผลิตจากเหล็กเคลือบชุบด้วยนิกเกิล ซึ่งสร้างความสับสนกับเหรียญบาทเพราะมีสีเงินเหมือนกัน โดยเปลี่ยนแบบพระบรมรูปรัชกาลที่ 9 เล็กน้อย และเปลี่ยนชนิดของโลหะเป็นอะลูมิเนียมบรอนซ์ (สีทอง)
9.เหรียญกษาปณ์รุ่นที่ 9 ผลิตออกใช้ระหว่างปี 2551-2559 ผลิตด้วยโลหะ 4 ชนิด คือ นิกเกิลสอดไส้ทองแดง นิกเกิล อะลูมิเนียม และอะลูมิเนียมบรอนซ์ ทั้งหมด 9 ชนิดราคา คือ 10 บาท 5 บาท 2 บาท 1 บาท 50 สตางค์ 25 สตางค์ 10 สตางค์ 5 สตางค์ และ 1 สตางค์
“เหรียญที่ระลึกสำหรับชาวเขา” เสมือนบัตรประชาชนของชาวไทยภูเขา
ย้อนไปเมื่อราว 40 ปีก่อน ซึ่งขณะนั้นเป็นช่วงเวลาที่ประเทศไทยกำลังประสบปัญหายาเสพติด ยังมีการปลูกฝิ่นบนพื้นที่สูง ทั้งยังมีการทำไร่เลื่อนลอยแผ้วถางพื้นที่ป่าของของชาวเขาทางภาคเหนือ
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ทรงต้องการให้ชาวเขาสามารถพึ่งพาตนเองได้และหยุดการอพยพย้ายถิ่นฐาน เพื่อลดปัญหาเหล่านี้ พระองค์จึงเสด็จฯ เยี่ยมเยือนพสกนิกรชาวเขาเผ่าต่างๆ ของพระองค์หลายครั้งหลายจังหวัด
โดยทุกครั้งจะทรงนำแนวทางการเพาะปลูกตลอดจนพืชพันธุ์ผักเมืองหนาวไปให้ชาวเขา ด้วยสายพระเนตรอันกว้างไกลในการพัฒนา ทำให้ชาวเขาสามารถพึ่งพาตนเอง จนทำให้ปัญหาการปลูกฝิ่นในพื้นที่สูง และการทำไร่เลื่อนลอยโดยชาวเขาเริ่มเบาบางลงและยุติลงในที่สุด
ในยุคนั้นด้วยการอพยพถิ่นฐานของชาวเขาบ่อยครั้งการสำมะโนประชากรและการพิสูจน์สัญชาติเพื่อทำบัตรประชาชนนั้นเป็นไปอย่างยากลำบาก และหนึ่งในพระอัจฉริยภาพในด้านการปกครองของพระองค์ คือการจัดทำทะเบียนราษฎรอย่างไม่เป็นทางการสำหรับชาวเขา
ครั้งนั้น พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ได้ทรงสร้าง “เหรียญที่ระลึกสำหรับชาวเขา” ด้านหน้าเป็นพระบรมรูป ร.9 ด้านหลังเป็นรูปแผนที่ประเทศไทย โดยตอกชื่อย่อจังหวัด และหมายเลขประจำตัวลงไปในแต่ละเหรียญ เพื่อใช้เป็นหมายเลขประจำตัวสำหรับชาวเขาแต่ละคน
ด้วยเหตุนี้เหรียญนี้จึงเป็นเสมือนบัตรประชาชนของชาวไทยภูเขาในอดีต เรียกง่ายๆ ว่า “บัตรประชาชนฉบับ ชาวเขา ประชาชนใต้ร่มบารมีของพระองค์ท่าน ...” และพระองค์จะพระราชทานเหรียญที่ระลึกแก่ชาวเขาทุกครั้งที่เสด็จฯ เยี่ยมทั้งอย่างเป็นทางการและเป็นการส่วนพระองค์
อากูตา หรือวันชัย เบียผะ พ่อเฒ่าชาวไทยภูเขาเผ่าลีซู วัย 78 ปี ผู้เคยเล่นดนตรีถวายพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ขณะพระองค์เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมราษฎร ที่บ้านปางสา ต.ป่าตึง อ.แม่จัน จ.เชียงราย เมื่อปี พ.ศ. 2522-2524 เป็นหนึ่งในบุคคลที่ได้รับพระราชทานเหรียญที่ระลึกชาวเขา ผู้เฒ่าโชว์เหรียญที่ระลึกแห่งความภาคภูมิใจ ในวันที่ในหลวง รัชกาลที่ 9 เสด็จสวรรคตไปแล้ว 1 ปี เป็นเหรียญชาวเขาที่ผู้เฒ่าห้อยติดตัวมาตลอดนับตั้งแต่ได้รับพระราชทานเพื่อแสดงว่าเขาเป็นพสกนิกรใต้ร่มพระบรมโพธิสมภาร
อากูตา เล่าว่า เหรียญที่ระลึกเหรียญนี้ครอบครัวของเขา ณ ขณะนั้น ได้รับพระราชทานทั้งสิ้น 3 คน ประกอบด้วย ตัวเขา ภรรยา และลูกสาวคนโต ใช้เป็นสัญลักษณ์ยืนยันตัวตนว่าเป็นคนไทย แม้ว่าปัจจุบันภรรยาจะเสียชีวิตไปแล้ว แต่เหรียญก็ถูกส่งต่อให้กับคนในครอบครัวคนอื่นๆ ต่อมา จวบจนทุกวันนี้ก็ยังเก็บรักษาไว้กับตัวอยู่ตลอดเวลา แม้ที่ผ่านมาจะได้รับการติดต่อเพื่อขอซื้อมาหลายต่อหลายครั้งแล้วก็ตาม
“ตอนนั้นชาวเขาเราไม่รู้ว่าเขตที่เรามาปักหลักปลูกบ้านคือตรงไหน เขาบอกว่าที่นี่เมืองไทยนะ เราก็ไม่รู้ ระหว่างชายแดนก็ไม่รู้ การจะเดินทางไปไหนก็ถูกตรวจสอบ สมัยก่อนคนที่ไม่มีบัตรประชาชนต้องมีเหรียญนี้ สมัยแรกๆ ท่านพระราชทานไว้ให้เพื่อแทนบัตรประชาชนสำหรับชาวเขา ให้คนละ 1 เหรียญ
เวลาเราไปอำเภอเขาจะดูเลขหลังเหรียญ ตอนนั้นคนบนดอยไม่มีบัตรเยอะ พระเจ้าอยู่หัวให้มาเป็นสัญลักษณ์ของการเป็นลูกบ้าน เป็นประชาชนของท่าน ตาห้อยเหรียญชาวเขาที่ในหลวงพระราชทานมาให้ตลอด ศรัทธาเหมือนพ่อ เก็บไว้จนตายเลย มีคนมาขอซื้อ 2 แสนก็ไม่ขาย ถึงตอนนี้จะได้รับสัญชาติไทยแล้ว มีบัตรประชาชนแล้ว ลูกหลานคนอื่นๆ ก็ได้บัตรกันหมดแล้ว แต่ครอบครัวเราก็ยังคล้องเหรียญนี้เอาไว้ตลอด”
เหรียญพระราชทานจาก “พ่อหลวง” นี้เป็นที่หวงแหนของชาวเขา อย่างไรตาม ทุกวันนี้ “เหรียญที่ระลึกสำหรับชาวเขา” ได้กลายเป็นของสะสมสำหรับวงการพระเครื่องในท้องถิ่นและทั่วไปแล้วในชั่วโมงนี้ เพราะนอกจากเป็นของเก่าแล้ว ยังเป็นของพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร อีกด้วย ย่อมเป็นของสูงค่าด้วยประการทั้งปวง
สำหรับเหรียญที่ระลึกสำหรับชาวเขา เป็นเหรียญที่จัดทำขึ้นเพื่อใช้แทนบัตรประชาชนสำหรับชาวเขา ในสมัยก่อนที่ยังไม่มีบัตรประชาชนใช้กัน ลักษณะเป็นเหรียญห้อยคอ ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 3 ซม.ด้านหน้า เป็นพระรูป ร.9 พิมพ์คล้ายๆ กับเหรียญบาท ปี 2505 ด้านหลังเป็นรูปแผนที่ประเทศไทย และมีหมายเลขกำกับในแต่ละเหรียญ
กุศโลบายของเหรียญนี้ คือทุกเหรียญจะมีการตอกโค้ดหมายเลขประจำเหรียญซึ่งพระองค์ได้ทรงนำเหรียญเหล่านี้ไปพระราชทานแก่ชาวเขาตามจังหวัดต่างๆ ประมาณ 20 จังหวัด รวมทั้งหมดกว่า 2 แสนเหรียญ โดยทุกเหรียญจะมีอักษรย่อของแต่ละจังหวัดตอกอยู่ที่ด้านหลังเหรียญ พร้อมทั้งมีหมายเลขประจำเหรียญตอกกำกับอีกด้วย ดังนี้
1.กำแพงเพชร (กพ) 2.ประจวบคีรัขันธ์ (ปข) 3.เพชรบุรี (พบ) 4.เลย (ลย) 5.ลำพูน (ลพ) 6.อุทัยธานี (อน) 7.เพชรบูรณ์ (พช) 8.พิษณุโลก (พล) 9.ราชบุรี (รบ) 10.ลำปาง (ลป) 11.น่าน (นน) 12.ตาก (ตก) 13.เชียงราย (ชร) 14.แม่ฮ่องสอน (มส) 15.เชียงใหม่ (ชม) 16.ไม่ตอก สุโขทัย (สท) หายากมาก
ส่วนอีก 4 จังหวัด ที่มีชาวเขา แต่ไม่มีข้อมูลเหรียญ คือ 1.กาญจนบุรี 2.แพร่ 3.สุพรรณบุรี 4.พะเยา (รวมอยู่ใน จ.เชียงราย สมัยนั้นยังไม่แยกออกเป็นจังหวัด) เหรียญที่ระลึกสำหรับชาวเขาจึงถือเสมือนหนึ่งเป็นบัตรประจำตัวประชาชน สำหรับชาวเขาพกพาไปตามที่ต่างๆ แสดงว่าได้มีการขึ้นทะเบียนสัญชาติไทยแล้ว
ต่อมาเมื่อความเจริญของบ้านเมืองก้าวหน้าขึ้น จึงได้มีการสำรวจสำมะโนประชากรชาวเขาอย่างทั่วถึง ทำให้ชาวเขาเผ่าต่างๆ ได้รับสัญชาติไทยอย่างถูกต้อง ความจำเป็นในการใช้ “เหรียญที่ระลึกสำหรับชาวเขา” ก็หมดไป
ความพิเศษของเหรียญนี้ ก็คือทุกเหรียญจะมีการตอกโค้ดหมายเลขประจำเหรียญ ซึ่งยุคนั้นการอพยพถิ่นฐานของชาวเขาและการสำรวจสำมะโนประชากร การพิสูจน์สัญชาติเพื่อทำบัตรประชาชนนั้นเป็นไปได้ยาก เหรียญนี้จึงถือเป็นบัตรประชาชนชาวเขาโดยพฤตินัย ซึ่งทรงมีพระมหากรุณาธิคุณพระราชทานเพื่อแจกให้ชาวเขา เมื่อคราวพระราชสมภพครบ 3 รอบ ในปี 2506 เพื่อแจกให้ชาวเขาที่เลิกฝิ่น และใช้แทนบัตรประชาชนสำหรับชาวเขา
………ล้อมกรอบ………..
เหรียญกษาปณ์หายากในรัชสมัยในหลวงรัชกาลที่ 9
คลังข้อมูลจาก Siamcoin.com ซึ่งเป็นแหล่งรวบรวมแลกเปลี่ยนซื้อขายเหรียญทองคำเหรียญกษาปณ์และเหรียญที่ระลึกต่างๆ เป็นแหล่งความรู้ของคนรักเหรียญ ได้รวบรวมเหรียญกษาปณ์สมัยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ได้จัด 10 อันดับ เหรียญกษาปณ์หายากในรัชสมัยในหลวงรัชกาลที่ 9
+ อันดับที่ 1 เหรียญ 5 บาท ปี 2529 พบว่ามีเห็นอย่างน้อย 1 เหรียญ
+ อันดับที่ 2 เหรียญ 5 บาท ปี 2524 อาจมีเพียง 2-3 เหรียญในปัจจุบัน
+ อันดับที่ 3 เหรียญ 5 บาท ปี 2525 ด้านหน้าพระเศียรเล็ก ทำจากนิกเกิลเคลือบไส้ทองแดง มีรูปให้เห็นเพียงเหรียญเดียว แต่ในวงการเชื่อว่ามี 2-3 เหรียญ
+ อันดับที่ 4 เหรียญ 5 บาท ปี 2515 (พิมพ์เล็ก) เป็นเหรียญตัวอย่าง ปัจจุบันพบ 2 เหรียญ
+ อันดับที่ 5 เหรียญ 5 บาท ปี 2515 พระเศียรใหญ่ เชื่อว่ามีหมุนเวียน 3-4 เหรียญ แต่เชื่อว่ามีไม่เกิน 4 เหรียญ
+ อันดับที่ 6 เหรียญ 5 บาท ปี 2515 แบบพระเศียรเล็ก พบว่ามีออกมาหมุนเวียน 3-5 เหรียญ แต่อาจมีจริงๆ น้อยกว่านั้นก็ได้
+ อันดับที่ 7 เหรียญบาท ปี 2493 ผลิตออกมาเป็นตัวอย่างเท่านั้น พบว่ามีหมุนเวียนในวงการ 3-4 เหรียญ แต่อย่างมากไม่เกิน 5 เหรียญ
+ อันดับที่ 8 เหรียญ 10 บาท ปี 2533 เป็นเหรียญกษาปณ์สองสี รุ่นนี้ผลิตออกมา 100 เหรียญ แต่จ่ายออกไปราว 40 เหรียญ ในปัจจุบันมีพบว่าเหลือหมุนเวียนในวงการไม่เกิน 7 เหรียญ
+ อันดับที่ 9 เหรียญบาท ปี 2505 พบน้อยมากเชื่อว่ามีหมุนเวียนไม่เกิน 30 เหรียญในวงการ
+ อันดับที่ 10 เหรียญ 25 สตางค์ ปี 2500 ด้านหลังตัวหนังสือบาง ทำจากอะลูมิเนียมบรอนซ์ แบบพิมพ์เล็ก หาสภาพสวยได้ยากมากๆ เชื่อกันว่ามีหมุนเวียนไม่เกิน 50 เหรียญในวงการ