ปปท.พบมูลความผิดชัด! ทุจริตปลอมเอกสารสงเคราะห์ผู้ยากไร้ขอนแก่น
ปปท.ลงพื้นที่ตรวจสอบขบวนการทุจริตปลอมเอกสารเงินสงเคราะห์ผู้ยากไร้ เบื้องต้นพบมูลความผิดชัดเจน
ปปท.ลงพื้นที่ตรวจสอบขบวนการทุจริตปลอมเอกสารเงินสงเคราะห์ผู้ยากไร้ เบื้องต้นพบมูลความผิดชัดเจน
เมื่อวันที่ 11 ก.พ. เวลา 09.30 น. ที่สำนักงาน คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในหน่วยงานภาครัฐ หรื ปปท เขต 4 จ.ขอนแก่น พ.ต.ท.วันนพ สมจินตนากุล ผู้ช่วยเลขาธิการ ปปท. เดินทางลงพื้นเพื่อตรวจสอบการสืบสวนสอบสวนและติดตามความคืบหน้าทางคดี กรณีที่ น.ส.ปนิดา ยศปัญญา อายุ 22 ปี นักศึกษามหาวิทยาลัยมหาสารคาม เข้าร้องเรียนต่อ เลขาธิการ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. ว่าขณะฝึกงาน ที่ศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งจังหวัดขอนแก่น พร้อมเพื่อนรวม 4 คนถูกสั่งให้ปลอมเอกสารข้อมูลสงเคราะห์ผู้มีรายได้น้อย และของผู้ติดเชื้อเอดส์ กลุ่มสงเสริมอาชีพ และปลอมลายมือชื่อในใบเสร็จรับเงิน ตามคำสั่งของ ผู้อำนวยศูนย์ฯ และ เจ้าหน้าที่รับผิดชอบการดูแลการฝึกงานและเงินกองทุนดังกล่าว
น.ส.ปนิดา พร้อมอดีตเจ้หน้าที่ของศูนย์ได้เดินทางเข้าให้ปากคำ พร้อมยื่นเรื่องขอคุ้มครองความปลอดภัย ภายในสำนักงาน ปปท. โดยไม่อนุญาตให้สื่อมวลชนหรือบุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าร่วมรับฟังหรือสังเกตุการณ์แต่อย่างใด
พ.ต.ท.วันนพ สมจินตนากุล ผู้ช่วยเลขาธิการ ปปท. กล่าวว่า สำนักงาน ปปท.ได้รับคำสั่ง โดยตรงจากเลขาธิการ คสช.จากการร้องเรียนดังกล่าว โดยที่พนักงานสอลสวนและณะกรรมที่รับผิดชอบได้ทำการตรวจสอบข้อเท็จจริงและลงพื้นที่เก็บข้อมูลในภาพรวมแล้ว และพบว่ามีมูลตามที่ร้องเรียนทั้งหมด จากนี้ไปก็จะรวบรวมหลักฐาน เข้าสู่กระบวนการไต่สวน
"ผมได้ลงพื้นที่พบปะชาวบ้านผู้ที่มีรายชื่อ รับเงินช่วยเหลือทั้งคนไร้ที่พึ่งในพื้นที่อ.เวียงเก่า และชาวบ้านกลุ่มส่งเสริมอาชีพ อ.บ้านฝาง เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง ว่าตามบัญชีการเบิกจ่ายนั้น มีข้อเท็จจริงอย่างไรบ้าง เพราะในปีงบประมาณ 2560 กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวง พม" ได้จัดสรรงบประมาณงบเงินอุดหนุนเงินสงเคราะห์ผู้มีรายได้น้อยและผู้ไร้ที่พึ่งจำนวนทั้งสิ้น 493,742,900 บาท โดยศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งจังหวัดขอนแก่นได้รับงบประมาณตามแผนงานยุทธศาสตร์เสริมสร้างสวัสดิการสังคมและยกระดับคุณภาพชีวิตโครงการส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพคนไร้ที่พึ่งและคนขอทานจำนวน 6,854,000 บาท มีวัตถุประสงค์เพื่อให้การช่วยเหลือคนไร้ที่พึ่งแบ่งเป็น 3 กลุ่มคือกลุ่มรายได้ไม่เพียงพอต่อการครองชีพจำนวนรายละ 2,000 บาทเงินสงเคราะห์ผู้ติดเชื้อเอดส์จำนวนรายละ 2,000 บาทและทุนประกอบอาชีพของผู้มีรายได้น้อยจำนวนรายละ 3,000 บาท"
พ.ต.ท.วันนพ กล่าวต่ออีกว่า จากการลงพื้นที่ตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ ป.ป.ท. ในพื้นที่ อ.ภูเวียง,ภูผาม่าน,แวงใหญ่,น้ำพองและ อ.เมืองขอนแก่นพบว่าช่วงระหว่างเดือน พ.ย. 2559 - ม.ค.2560 ศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งขอนแก่นได้ทำการให้ความช่วยเหลือคนไร้ที่พึ่งตามงบประมาณดังกล่าว
จากการตรวจสอบพบพฤติกรรมการทุจริตเงินดังกล่าวกล่าวคือกลุ่มรายได้ไม่เพียงพอต่อการครองชีพ ซึ่งไม่ได้รับเงินช่วยเหลือแต่อย่างใด ในส่วนกลุ่มเงินสงเคราะห์ผู้ติดเชื้อเอดส์ได้รับเงินช่วยเหลือจำนวน 1,000 บาท และกลุ่มทุนประกอบอาชีพของผู้มีรายได้น้อยได้รับเงินช่วยเหลือจำนวน 1,000 -2,000 บาทซึ่งขัดกับข้อเท็จจริงในฎีกาเบิกจ่ายเงินช่วยเหลือตามโครงการดังกล่าวที่มี การเบิกจ่ายเงินเต็มจำนวน นอกจากนี้ยังพบว่ามีการเบิกจ่ายเงินจำนวนทั้งสิ้น 19 ฎีกาผู้ที่ได้รับความช่วยเหลือทั้งหมดจำนวน 3,276 คนโดยจังหวัดขอนแก่นพบการให้ความช่วยเหลือจำนวน 22 อำเภอ
"เจ้าหน้าที่ของศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งขอนแก่นมีพฤติการณ์การกระทำความผิดที่ ปปท.ตรวจพบ ประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ทำการกรอกรายละเอียดในแบบใบสำคัญรับเงิน(แบบ5) โดยที่แบบใบสำคัญรับเงินยังไม่มีข้อมูลอะไรเลยเป็นแบบว่างเปล่าโดยเจ้าหน้าที่จะนำเอกสารบัตรประชาชนของผู้มีสิทธิ์มาปลอมลายมือชื่อของผู้มีสิทธิ์ในช่วงรับเงินจากนั้นเชื่อว่าเจ้าหน้าที่จะนำเอกสารดังกล่าวไปใช้ในการเบิกจ่ายและเจ้าหน้าที่จะเขียนรายละเอียดข้อมูลส่วนบุคคลในแบบข้อเท็จจริงทั่วไปโดยสมมติหรือคิดขึ้นเองเพื่อให้บุคคลตามสำเนาบัตรประชาชนนั้นเป็นผู้มีสิทธิ์ได้รับความสงเคราะห์ช่วยเหลือเป็นหลักฐานการประกอบ
การใช้ตราปั๊มรายละเอียดจำนวนการจ่ายเงิน ใบแบบใบสำคัญรับเงิน(แบบ5)โดยที่แบบใบสำคัญรับเงิน มีผู้มีสิทธิ์ได้รับความสงเคราะห์ช่วยเหลือได้ลงลายมือชื่อมาแล้วแต่ยังไม่มีการระบุยอดจำนวนเงินทั้งที่เป็นตัวเลขและตัวหนังสือโดยแสตมป์รายละเอียดจำนวนการจ่ายเงินมีทางที่จ่ายจำนวน 2,000 และ 3,000 บาท
สุดท้ายคือการที่เจ้าหน้าที่ทำการปลอมลายมือของผู้มีสิทธิ์รับเงินในแบบใบสำคัญรับเงิน(แบบ5) ที่บ้านพักโดยใช้อุปกรณ์โต๊ะกระจกส่องแสงเขียนแบบเพื่อให้เห็นลายมือชื่อของผู้มีสิทธิ์อย่างชัดเจนจากนั้นจึงทำการปลอมลายมือชื่อของผู้มีสิทธิ์ ซึ่ง ปปท.จะทำการไต่สวนในรายละเอียดทั้งหมดตามข้อเท็จจริงและสรุปส่งให้ เลขาธิการ คสช.ได้รับทราบ เพื่อเอาผิดกับขบวนการปลอมแปลงเอกสารดังกล่าว"