posttoday

หวั่น “พลับพลึงธาร” ของไทยสูญพันธุ์

11 มกราคม 2553

โพสต์ทูเดย์ - นักวิชาการเกษตรเผย“พลับพลึงธาร” ของไทยหนึ่งเดียวในโลกเข้าขั้นวิกฤตเหลือพื้นที่รวมไม่เกิน 15 ไร่ ที่ระนองหวั่นสูญพันธุ์อีก 2-3 ปีข้างหน้า

โพสต์ทูเดย์ - นักวิชาการเกษตรเผย“พลับพลึงธาร” ของไทยหนึ่งเดียวในโลกเข้าขั้นวิกฤตเหลือพื้นที่รวมไม่เกิน 15 ไร่ ที่ระนองหวั่นสูญพันธุ์อีก 2-3 ปีข้างหน้า

นายสมชาย ชาญณรงค์กุล อธิบดีกรมวิชาการเกษตร กล่าวว่า พลับพลึงธาร (Crinum thaianum Schultze)  หรือ หอมน้ำเป็นพืชหายากเฉพาะถิ่นที่พบในประเทศไทยเพียงแห่งเดียวในโลก โดยพบในลำคลองธรรมชาติเขตจ.ระนองตอนล่างและพังงาตอนบน ได้แก่ อ.ตะกั่วป่า อ.คุระบุรี อ.สุขสำราญและอ.กะเปอร์ ปัจจุบันสถานการณ์ค่อนข้างน่าเป็นห่วงเพราะกำลังถูกคุกคามอย่างหนัก เนื่องจากการขุดลอกคลอง การสร้างฝายกั้นน้ำ และการลักลอบขุดหัวพันธุ์ในคลองธรรมชาติส่งออกไปยังต่างประเทศ ทำให้ปริมาณลดลงมากทุกปีซึ่งมีความเสี่ยงสูงที่จะสูญพันธุ์ (Extinct in the wild)ในอนาคตอันใกล้นี้

ทั้งนี้ สาเหตุสำคัญที่มีผลต่อการลดจำนวนของพลับพลึงธาร คือ การขุดลอกคลอง รองลงมา ได้แก่ การลักลอบขุดหัวพลับพลึงธารส่งขายในช่วงหน้าแล้งหรือเดือนธ.ค.-เม.ย.โดยพ่อค้ารับซื้อราคาหัวละ 2-3 บาท และส่งขายต่อในราคาหัวละ 10-12 บาท ประกอบกับการเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดินที่ไม่เหมาะสม ทำให้เกิดการทับถมของตะกอนดินและหิน ทั้งยังมีการขุดหินและดินจากลำคลองเพื่อการก่อสร้าง ส่งผลให้พลับพลึงธารในลำคลองนาคา คลองบางปรุ และคลองตาผุด ลดลงอย่างเห็นได้ชัดปัจจุบันเหลือประมาณ 20%   โดยมีพื้นที่รวมประมาณ 10-15 ไร่เท่านั้น ซึ่งล่าสุดพลับพลึงธารในลำคลองบางปง อ.คุระบุรี ได้ถูกคุกคามและหมดไปจากลำคลองดังกล่าวแล้ว
“ระยะ 2 ปีที่ผ่านมา ไทยมีการส่งออกหัวพลับพลึงธารไปประเทศต่างๆ มากกว่า 21 ประเทศ ได้แก่ สิงคโปร์ สหรัฐอเมริกา และสหภาพยุโรป (EU) เป็นต้น ปีละประมาณ 1-2 แสนหัว ส่วนใหญ่นำไปใช้เป็นพันธุ์ไม้น้ำในตู้ปลาสวยงาม ซึ่งปี 2552 ไทยมีการส่งออกหัวพันธุ์พลับพลึงธาร ประมาณ 128,590 หัว 57,484 ต้น นับเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ประชากรในธรรมชาติมีปริมาณน้อยลง หากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องไม่เร่งฟื้นฟูและอนุรักษ์พลับพลึงธารให้คงอยู่คู่ลำคลอง คาดว่าภายใน 2-3 ปีข้างหน้าพืชชนิดนี้อาจสูญพันธุ์ไปจากถิ่นกำเนิดของไทยอย่างแน่นอน” อธิบดีกรมวิชาการเกษตร กล่าว

นายมานิตย์ ใจฉกรรจ์  หัวหน้าฝ่ายการค้าพืชตามอนุสัญญา กองคุ้มครองพันธุ์พืช กล่าวว่า  พลับพลึงธารยังไม่อยู่ในพระราชบัญญัติพันธุ์พืช พ.ศ.2518 และไม่ได้อยู่ในบัญชีไซเตส (CITES) ทำให้การค้าและการส่งออกทำได้โดยง่าย  ซึ่งปัจจุบันกรมวิชาการเกษตรดำเนินการได้เพียงควบคุมการส่งออกหัวพันธุ์ โดยเน้นส่งเสริมให้บริษัทส่งออกหัวพันธุ์จากการขยายพันธุ์เทียมเท่านั้นเพื่อช่วยลดอัตราการลักลอบขุดจากคลองธรรมชาติออกไปขาย ขณะนี้มีผู้ประกอบการบางรายเริ่มนำหัวพันธุ์ไปเพาะขยายเพิ่มจำนวนมากขึ้นโดยใช้เทคนิคลอกเลียนสภาพธรรมชาติ ซึ่งปกติพลับพลึงธารจะอยู่ในลำคลองที่มีน้ำไหลและน้ำสะอาดเท่านั้น  ถ้านำไปปลูกนอกพื้นที่หรือแหล่งน้ำที่มีสภาพแวดล้อมไม่เหมาะสม เช่น บ่อน้ำนิ่ง จะไม่เจริญเติบโตและเน่าตายในที่สุด

“ภาครัฐและหน่วยที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะหน่วยงานที่อนุมัติให้มีการขุดลอกคลองนั้นต้องศึกษาและประเมินถึงผลดีผลเสียจากการขุดลอกคลองก่อนเพราะจะทำให้พืชหายากอย่างพลับพลึงธารสูญพันธุ์ไป ชุมชมและท้องถิ่นต้องให้ความสำคัญกับพืชชนิดนี้ เพราะเป็นพืชหายากที่พบในไทยถือเป็นหนึ่งเดียวในโลก หากไม่เร่งปกป้องและอนุรักษ์แหล่งกระจายพันธุ์ที่เหลืออยู่ อนาคตพลับพลึงธารอาจสูญพันธุ์ไปจากถิ่นกำเนิดดั้งเดิม และลูกหลานไทยอาจจะเห็นพลับพลึงธารเพียงรูปภาพเท่านั้น” นายมานิตย์ กล่าว

 

Thailand Web Stat